×

ญี่ปุ่น-ไทย พันธมิตรเก่ากับโจทย์ใหม่ในสมรภูมิเศรษฐกิจอาเซียน

12.11.2025
  • LOADING...

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง ไทยและญี่ปุ่น ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภาค อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญที่มีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยี การผลิต และห่วงโซ่อุปทานของไทยจนกลายเป็น “Detroit of Asia” ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์นี้ไม่เพียงช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของทั้งสองประเทศ แต่ยังเป็นแรงขับสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต

 

เวทีเสวนา “Japan–Thailand: Shaping ASEAN’s Next Frontier” ที่จัดโดย Nikkei Asia ร่วมกับ The Standard ภายในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025: Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จึงกลายเป็นพื้นที่สะท้อนมุมมองและโอกาสของภาคธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น ตลอดจนอนาคตเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยมี 3 ผู้นำจากองค์กรภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของทั้งสองประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเข้มข้น ได้แก่

 

  • วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จํากัด (มหาชน)
  • โคจิ อิวานามิ (Koji Iwanami) ประธานและ CEO บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
  • บุนเซอิ โอคุโบะ (Bunsei Okubo) ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

 

ขณะที่ผู้ดำเนินรายการคือ โทโยอะกิ ฟูจิวาระ (Toyoaki Fujiwara) ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมและการประชุมระดับโลกของ Nikkei Incorporation ชี้ถึงความท้าทายอันน่ากังวลที่ญี่ปุ่นและไทยกำลังเผชิญ ทั้งการแข่งขันระดับโลก การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย แต่คำถามสำคัญคือ เราจะร่วมกันขับเคลื่อนอนาคต ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้อย่างไร?

 

ไทยต้องมีผู้นำที่มองไกล

 

วิกรมเปิดประเด็นในการสนทนาอย่างเฉียบคมว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ ‘ผู้นำและนโยบาย’ โดยยกตัวอย่างอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยกว่า 5-6% ต่อปี ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่า

 

“ถ้าไทยมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แบบนั้น เราสามารถโตได้มากกว่า 2% แน่นอน”

 

เขาย้ำว่าจุดแข็งของไทยมีทั้งภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน และความสัมพันธ์อันยาวนานกับชาติมหาอำนาจ

 

“อเมริกามีพนักงานสถานทูตในไทยกว่า 4,300 คน มากที่สุดในโลก สะท้อนว่าไทยคือพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ” เขากล่าว

 

ในมุมมองของวิกรม ความสัมพันธ์นี้ไม่ควรใช้เพียงด้านการทูต แต่ต้อง “แปลงเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ” โดยไทยควรใช้สถานะของตนเป็น ฐานความร่วมมือ ระหว่างญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่การเลือกข้าง แต่เป็นการใช้ทุกฝ่ายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทย

 

“เราควรให้ญี่ปุ่นกับจีนร่วมผลิตในไทย แล้วส่งออกสู่ตลาดตะวันตก นี่คืออนาคตที่ควรเป็น”

 

จากฐานการผลิตสู่ศูนย์กลางนวัตกรรม

 

โอคุโบะ ตัวแทนภาคธนาคาร ชี้ว่าไทยมี ‘ภารกิจสองด้าน’ คือเสริมความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และสร้างอุตสาหกรรมใหม่สำหรับอนาคต

 

เขามองว่า “ไทยมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค” หากสามารถผสานจุดแข็งของญี่ปุ่นด้านเทคโนโลยีเข้ากับทรัพยากรและตลาดของไทยได้

 

“MUFG และกรุงศรีฯ พร้อมสนับสนุนทั้งภาคการเงินและเครือข่ายการลงทุน เพื่อสร้างระบบนิเวศธุรกิจใหม่ ไม่ใช่แค่ปล่อยกู้”

 

เขาเสนอว่า ไทยควรพัฒนา 3 ด้านหลักเพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่ ได้แก่

 

1.พลังงานสะอาดและเสถียร สำหรับอุตสาหกรรมอนาคต

2.ทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูง ที่เข้าใจเทคโนโลยีใหม่

3.นโยบายและสิทธิประโยชน์การลงทุนที่มั่นคง

 

เขายกตัวอย่างความร่วมมือที่ธนาคารจัดทำขึ้น เช่น โครงการจับคู่ธุรกิจระหว่างสตาร์ตอัปญี่ปุ่นกับบริษัทไทยกว่า 400 คู่ ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์จริง หรือการร่วมพัฒนาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ระหว่างสตาร์ตอัปญี่ปุ่นกับเครือข่ายค้าปลีกไทย

 

“นี่คือตัวอย่างว่าการสร้างนวัตกรรมข้ามพรมแดน ที่จะกลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น”

 

Honda กับบทบาท “เติบโตไปพร้อมสังคมไทย”

 

อิวานามิ ประธานและ CEO บริษัท Honda Automobile (Thailand) ยืนยันว่า “ประเทศไทยคือพันธมิตรที่ไว้ใจได้ที่สุดของ Honda ในเอเชีย” เพราะมีตลาดที่มั่นคง แรงงานฝีมือดี และซัพพลายเชนที่แข็งแรง เขาย้ำว่า “ความสำเร็จของ Honda มาจากคนไทย”

 

ประเด็นความท้าทายอย่างการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กับค่ายจีนที่รุกแรง เขาให้คำตอบอย่างมั่นใจว่า “Honda ไม่แข่งที่ความเร็ว แต่แข่งที่ความเชื่อมั่นและความทนทาน”

 

โดยบริษัทจะเดินบนสองเส้นทางคู่กัน ทั้งยานยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งลงทุนพัฒนาแบตเตอรีและระบบจัดการพลังงานที่ผลิตได้เอง

 

“เราจะพัฒนาคนควบคู่กับเทคโนโลยี ทำงานกับโรงเรียนและซัพพลายเออร์ เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะทั้งเชิงเทคนิคและดิจิทัล เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องเป็นฐานผลิตที่มีนวัตกรรม ไม่ใช่แค่ฐานแรงงานราคาถูกอีกต่อไป”

 

เขายืนยันว่าแนวคิดของ Honda จะยังคงมุ่งเน้นที่สามเสาหลักคือ “สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และผู้คน (Environment, Safety, People)” เพื่อเติบโตไปพร้อมกับสังคมไทย

 

อนาคตความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น

 

ช่วงท้ายของการเสวนา ฟูจิวาระได้ตั้งคำถามสำคัญถึงอนาคตของความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ว่าจะปรับตัวอย่างไรท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกและความไม่แน่นอนทางการเมืองของทั้งสองประเทศ

 

วิกรมเสนอว่า ไทยควรเรียนรู้จากดูไบและสิงคโปร์ ในการเป็นประเทศที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับการลงทุนจากต่างชาติ (FDI)

 

“นโยบายที่ดีไม่ต้องใช้เงิน แค่เปิดกว้างและทำให้นักลงทุนมั่นใจ” เขากล่าว และเชื่อว่า หากรัฐบาลไทยบริหารนโยบายเศรษฐกิจด้วยวิสัยทัศน์เช่นนี้ GDP ของประเทศจะโตได้เกิน 5-6% อย่างแน่นอน

 

ขณะที่โอคุโบะเสริมว่า ความสม่ำเสมอของนโยบายเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติต้องการมากที่สุด

 

“เมื่อไทยสร้างความเชื่อมั่นได้ การลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือพลังงานสะอาด จะหลั่งไหลเข้ามา”

 

ขณะที่อิวานามิกล่าวทิ้งท้ายว่า “หากไทยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและนโยบายได้ Honda และนักลงทุนญี่ปุ่นจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทต้องการเติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย”

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising