วันนี้ (10 พฤศจิกายน) ที่ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรม ตม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์ (United Thailand Against Scammers)
โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วยรอง ผบ.ตร. ผู้บริหารระดับสูงหลายท่าน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมงาน
การแถลงข่าวนี้เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ยกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยกระดับงานดังกล่าวให้เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยในสังกัดระดมสรรพกำลังทำการป้องกันและปราบปรามในทุกมิติอย่างเข้มข้น
ในส่วนของการปราบปราม มีผลการปฏิบัติในช่วงระดมกวาดล้างล่าสุดห้วงวันที่ 27 ตุลาคม – 8 พฤศจิกายน 2568 (รวม 13 วัน) สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรวม 7,044 คดี ผู้ต้องหา 7,174 คน โดยเป็นการจับกุมคดีสำคัญที่เป็นองค์กรเครือข่ายรวม 90 คดี ผู้ต้องหา 315 คน, คดี 14 ประเภท รวม 2,580 คดี ผู้ต้องหา 2,432 คน และคดีเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้ารวม 795 คดี ผู้ต้องหา 759 คน นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมอุปกรณ์การสื่อสารผิดกฎหมาย เช่น SIMBOX, False base station 11 คดี ผู้ต้องหา 7 คน
พร้อมทั้งสำรวจเสาส่งสัญญาณและสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตบริเวณแนวชายแดนทั่วประเทศรวม 1,575 จุด และ 105 จุด ตามลำดับ เพื่อส่งข้อมูลให้ กสทช. ดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายต่อไป
ผลการปฏิบัติที่สำคัญคือการดำเนินการติดตามเงินคืนให้กับผู้เสียหาย (Money Cash Back) โดยติดตามเงินคืนได้รวม 234 ราย และจับกุมผู้ต้องหาได้ 224 คน ซึ่งในวันนี้มีผู้เสียหายเดินทางมารับเงินคืนในงานแถลงข่าวรวม 31 ราย เป็นเงินรวม 14,604,248 บาท โดยนับตั้งแต่เริ่มโครงการ (กุมภาพันธ์ 2568 – ปัจจุบัน) สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้แล้ว 322 ราย เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 312,014,202.15 บาท
นอกจากนี้ยังมีการสกัดกั้นคนไทยที่จะเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปร่วมขบวนการ Scammer ได้ 123 ครั้ง 201 คน และปฏิบัติการขยายผลเส้นทางการเงินต้องสงสัยจากศูนย์ War Room รวม 128 ราย ผู้ต้องหา 133 คน ขณะเดียวกันในช่วงวันที่ 1 – 8 พฤศจิกายน 2568 มีการระดมจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ 965 คน และจับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การพนันออนไลน์, จำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ รวม 3,083 คดี ผู้ต้องหา 3,103 คน
ในส่วนของการปราบปรามการพนันออนไลน์และสื่อผิดกฎหมาย ตำรวจได้สืบสวนจับกุมเว็บไซต์ แพลตฟอร์ม และผู้โฆษณาชักชวน โดยเฉพาะอินฟูลเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง โดยห้วงวันที่ 1 – 8 พฤศจิกายน 2568 จับกุมผู้จัดให้มีการเล่นและผู้โฆษณาชักชวนบนสื่อออนไลน์ ได้ 22 ราย ผู้ต้องหา 27 คน ซึ่งในภาพรวมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 8 พฤศจิกายน 2568 ได้จับกุมเครือข่ายการพนันออนไลน์รายใหญ่ 26 ราย ผู้ต้องหา 196 คน ตรวจยึดทรัพย์สิน 41,720,000 บาท
นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอปิดกั้นเว็บไซต์การพนันออนไลน์รวม 38,394 URL และปิดแพลตฟอร์มการพนันออนไลน์และที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ (Facebook/YouTube/X/TikTok/Line) รวม 8,802 ครั้ง ในห้วงวันที่ 1 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2568
ตำรวจขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานและร่วมเป็นกำลังสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีด้วยดีตลอดมา พร้อมยืนยันที่จะทำงานด้วยความโปร่งใส เข้มแข็ง และมุ่งมั่น เพื่อความผาสุกและความปลอดภัยในสังคมออนไลน์ของประชาชนทุกคน
ในการแถลงผลการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรีได้ร่วมแสดงจุดยืนอีกครั้ง โดยระบุว่าอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นภัยที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนในทุกระดับ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของประเทศ รัฐบาลจึงได้ประกาศสงครามสำคัญกับสแกมเมอร์ให้เป็นวาระแห่งชาติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำว่า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะอำนวยการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขึ้น โดยมีตนเองเป็นประธาน และรวมอีก 15 องค์กร เพื่อเปลี่ยนจากการตั้งรับมาเป็นการรุกไล่ ติดตามผลงานของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจน อาทิ การอายัดทรัพย์สินหลายหมื่นล้านบาท การเพิกถอนวีซ่า และการกำจัดบัญชีม้าจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์จากการมุ่งมั่นปราบปรามอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงประเด็นที่ประชาชนตั้งข้อสงสัยว่ามีคนของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมลักษณะนี้หรือไม่ โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่นิ่งนอนใจและรับฟังทุกเสียงสะท้อน พร้อมกำชับให้ผู้บังคับบัญชาของทุกหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ และขอความร่วมมือประชาชนให้ส่งข้อมูลหากพบว่ามีนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปพัวพัน เพื่อดำเนินการอย่างเฉียบขาดและเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น โดยยืนยันในฐานะหัวหน้ารัฐบาลว่า “เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่มีการเคลียร์” แต่จะดูจากพฤติกรรมและความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนภารกิจของตำรวจอย่างเต็มที่
ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงว่า ตนยังเชื่อมั่นว่าหากได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจจาก 3 ประเทศที่เป็นฐานที่ตั้งของสแกมเมอร์ จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถาวร ตำรวจไทยจะเชิญชวนประเทศพันธมิตรลงพื้นที่ตรวจสอบเพื่อสร้างรูปแบบนานาชาติร่วมกันกดดัน นอกจากนี้ ยังมองว่าวิธีการตัดระบบสาธารณูปโภคจะเป็นอีกแนวทางที่ช่วยยุติการทำงานของกระบวนการ Call Center ไม่ให้ทำการหลอกลวงนานาประเทศได้
พล.ต.ท.จิรภพ ยืนยันว่า แม้ประเทศที่ตั้งสแกมเมอร์จะยังไม่ร่วมมือ ตำรวจไทยก็จะไม่นิ่งเฉย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งวอร์รูมรวมตำรวจทุกหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือกัน เนื่องจากอาชญากรรมประเภทนี้ไร้ขอบเขต ซึ่งความร่วมมือภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกประเทศจะนำไปสู่ความสำเร็จในการปราบปราม แม้จะต้องใช้เวลา แต่ยืนยันว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาได้เห็นพัฒนาการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแล้ว








