วันนี้ (10 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐสภา กล่าวถึงกรณีการประชุมกรรมาธิการฯ ที่สะดุด ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า พรรคประชาชนพยายามควบคุมให้เป็นไปตามโมเดลที่เสนอ
พริษฐชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นธงแบบนั้น แต่แน่นอนว่า แต่ละฝ่ายมีความเห็นว่าข้อดีของร่างแก้รัฐธรรมนูญที่เสนอเป็นอย่างไร ยิ่งพอรัฐสภามีมติให้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก ทำให้ยิ่งต้องมีหน้าที่อธิบายหลักการและเหตุผลให้กรรมาธิการเห็นคล้อยตาม
“ผมพูดตั้งแต่วันแรกของการประชุมกรรมาธิการ ในฐานะผู้เสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญว่า เข้าใจดีว่าแต่ละคนมีมุมมองที่ต่างกัน สิ่งที่อยากให้กรรมาธิการแสวงหา คือฉันทามติของทุกฝ่าย เพราะรู้ว่ากรณีผ่านวาระสามไปได้ ไม่ใช่จะใช้เสียงข้างมากของรัฐ แต่ต้องได้ 20% ของฝ่ายค้าน และ 1 ใน 3 ของ สว. ด้วย และแม้ผ่านวาระ 3 ไปได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนด้วย” พริษฐ์กล่าว
พริษฐ์ระบุว่า ดังนั้น ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขที่จะคลอดออกมาต้องตอบ 2 โจทย์คู่ขนาน คือได้ฉันทามติของรัฐสภาระดับหนึ่ง และตอบโจทย์เพียงพอที่ประชาชนจะลงคะแนนเห็นชอบในการทำประชามติด้วย พร้อมย้ำว่า การทำงานที่ผ่านมา ไม่ได้เอาความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ แต่พยายามแสวงหาฉันทามติในกรรมาธิการในประเด็นที่เห็นต่างกัน หากหาข้อสรุปร่วมกันได้โดยไม่ลงมติได้ก็ดี แต่หากจำเป็นต้องลงมติ เพราะมีประเด็นที่ต้องลงมติเพื่อหยั่งเสียงว่า แต่ละฝ่ายมีมุมมองเห็นต่างกัน มีผู้สนับสนุนเท่าไร
เชื่อ 12 พ.ย. นี้ หาข้อสรุปได้จะให้มี สสร. หรือไม่
ส่วนประเด็นข้อเห็นต่างระหว่างให้มีผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) นั้น พริษฐ์กล่าวว่า ร่างแก้รัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่เป็นฉบับหลัก เป็นผู้ร่างชั้นเดียว คือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรมนูญ มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม ให้ประชาชนคัดมาก่อน 70 คน จากนั้นให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน โดยใช้วิธีการเสนอชื่อตามสัดส่วน ให้ สส.และ สว. รวมกลุ่ม 20 คน เสนอผู้ร่าง 1 คน เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เสียงข้างมากลากไป
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า ส่วนอีกกลไกคู่ขนานคือ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้มาจากการเลือกตั้งทางตรง เพราะเห็นว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญห้ามเฉพาะประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง แต่สภาที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการทำเนื้อหา จึงสามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้ ทั้งนี้ โมเดลดังกล่าวเป็นโมเดลคู่ขนานที่เป็นไปตามข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี ยอมรับว่ามีมุมมองที่แตกต่างกัน บางฝ่ายเห็นด้วย กับกรรมาธิการชั้นเดียว แต่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งทางอ้อม อีกฝ่ายเห็นว่าควรมี สสร. แต่งตั้งจากรัฐสภา
สำหรับการประชุมกรรมาธิการครั้งที่ผ่านมา ลงมติไม่ได้ เป็นเพราะแต่ละฝ่ายยืนยันความเห็นคนละฝั่งหรือไม่ พริษฐ์กล่าวว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่ลงมติไม่ได้ ที่ผ่านมาพยายามมองว่า อะไรที่ตรงกัน หากได้ฉันทามติแล้วก็จะเดินหน้าโดยไม่ลงมติ แต่หากจำเป็นต้องลงมติเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องทำเพื่อให้รู้ว่าแต่ละทางเลือกมีผู้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยมากน้อยแค่ไหน และเชื่อว่าในการประชุมวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ประเด็นที่เห็นต่างกันจะหาข้อสรุปได้ในทางใดทางหนึ่ง
ย้ำพยายามหาจุดกึ่งกลางเป็นฉันทามติ ทุกฝ่ายยอมรับ
ขณะที่จะต้องปรับหรือลดทอนโมเดลของผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่เสี่ยงขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ พริษฐ์ระบุว่า มุมหนึ่งต้องยืนยันว่า สิ่งที่เสนอนั้นไม่ขัด แต่อีกมุมเข้าใจว่ามีความกังวล ดังนั้น จึงเป็นความพยายามทำความเข้าใจว่า ฝ่ายที่กังวลนั้นกังวลเรื่องใด สามารถคลายข้อกังวลได้หรือไม่ หากคลายกังวลไม่ได้ จะปรับร่างรัฐธรรมนูญเป็นแบบไหนที่ยังคงหลักการที่ยึดถือ และคลายกังวลด้วย และเป็นความพยายามหาฉันทามติในชั้นกรรมาธิการ คือสิ่งที่เราต้องการบรรลุให้ได้มากที่สุด และทำให้เป้าหมายการทำงานเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
อย่างไรก็ตาม พริษฐ์ยอมรับว่า หากจะสรุปเวลานี้คงยาก เพราะแต่ละคนอภิปรายประเด็นที่หลากหลาย มีบางประเด็นที่กรรมาธิการเห็นด้วย บางประเด็นไม่เห็นด้วย ดังนั้น หน้าที่ของคณะทำงานพยายามดูว่า มีประเด็นอะไรบ้างที่คุยกัน และเชื่อว่าใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว โดยวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ จะได้ข้อสรุปที่ยังเห็นต่างกัน ไม่ว่าข้อสรุปเป็นเช่นไร ทุกฝ่ายพร้อมเดินหน้า
“เป้าหมายคือพยายามหาฉันทามติจากทุกฝ่ายที่มี หลักการสำคัญของผมจะหาจุดกึ่งกลางที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งกรรมาธิการคาดหวังว่า เมื่อร่างแก้รัฐธรรมนูญที่รับมา ทั้งของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย แต่พรรคเพื่อไทยมีสิทธิเสนอเช่นกัน ดังนั้น ต้องเอาโมเดลมาผสมในสิ่งที่รับได้ในเชิงหลักการ และผ่านความเห็นชอบของประชาชน” พริษฐ์กล่าว


