นับจากวันที่วง Mild ส่งเพลง อีกนานไหม จนกลายเป็นหนึ่งในเพลงชาติของคนอกหักและสถานท่องเที่ยวยามค่ำคืน หลังจากนั้นพวกเขาก็ทยอยปล่อยเพลงฮิตทั้ง Unloveable, เข้าใจแต่ทำไม่ได้, รักเราไม่เท่ากัน, เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า, ซาโยนาระ และอีกมายตลอดระยะเวลา 10 ปีบนเส้นทางสายดนตรี
ล่าสุดพวกเขากำลังจะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับงาน MI4DX Concert คอนเสิร์ตใหญ่ในวาระครบรอบ 10 ปี ที่จะไม่ได้แค่ขนเพลงฮิตมาให้ฟังกันแบบสดๆ แต่พวกเขาได้ดีไซน์การโชว์ทุกอย่างที่ให้ความสมจริงระดับ 4DX พร้อมกับมิติในด้านต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นจากพวกเขามาก่อน
ก่อนภาพทุกอย่างจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 กันยายนนี้ THE STANDARD นัดคุยกับพวกเขาเพื่อค้นหาความหมายในทุกๆ มิติที่แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาไม่ได้มีดีแค่ความเศร้า แต่ไม่ว่าจะเป็นมิติแห่งความสนุก ลึกซึ้ง พวกเขาก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
เพลง อีกนานไหม วง Mild
(ไมค์-ธงไชย ทิมพูล, กลอง)
เวลาพูดถึงคำว่า ‘มิติที่ 4’ วง Mild จะนึกถึงอะไรกันบ้าง
ไมค์: ผมคิดถึงกลิ่น เวลาได้กลิ่นอะไรแล้วเราจะนึกภาพตาม และจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ ได้ ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับกลิ่นพอสมควรเลยนะ แค่สเปรย์ฉีดรองเท้าก็ต้องเลือก กลิ่นที่ผมชอบจะเป็นกลิ่นที่สดชื่นหน่อย ที่สำคัญคือกลิ่นช่วยในการนอนหลับและคลายเครียดได้ดี
เป้ (แซกโซโฟน): ถ้าพูดถึงเรื่องจินตนาการภาพตาม ผมคิดว่าเสียงคือมิติที่ 4 ที่มีความสำคัญในแง่การเป็นจดหมายเหตุของชีวิตเหมือนกันนะ บางเพลงดังขึ้นมา ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ไหน แต่ภาพบางอย่างที่เราเคยฟังในช่วงเวลานั้นจะโผล่เข้ามาทันที บางครั้งสนุกอยู่ แต่พอได้ยินเพลงเศร้า เราก็คิดไปถึงเหตุการณ์ตอนที่เราเศร้าขึ้นมา บางเพลงคิดถึงเพื่อน บางเพลงคิดถึงครอบครัว หรือเวลาได้ยินเพลงสามช่าแล้วเราจะนึกถึงช่วงสงกรานต์ขึ้นมา
เป้: สำหรับผมไม่ใช่แค่มิติ แต่ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับเลข 4 พอสมควรในฐานะ Lucky Number ของผม ผมใช้ชีวิตกับเลข 4 ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดวันที่ 4 อะไรก็ตามที่มีเลข 4 อยู่ตรงไหนในชีวิตจะเป็นเรื่องดีสำหรับผมเสมอ เวลาไปแข่งดนตรีสมัยเด็กๆ ถ้าได้เล่นเป็นวงที่ 4 ก็มักจะได้แชมป์ ซิงเกิลที่ 4 ในแต่ละอัลบั้มก็มักจะเป็นเพลงดังที่สุด หรืออัลบั้ม MI4D (โฟร์) เพลง ซาโยนาระ ที่ปล่อยออกมาเพลงแรกก็ประสบความสำเร็จที่สุด ที่บ้านก็จะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเลขที่มาตกแต่งเต็มไปหมด มันดูเป็นเรื่องไสยศาสตร์นิดหนึ่งนะ แต่ผมเชื่อว่าเลขนี้ให้พลังกับเราจริงๆ
ทอมท่อม: ผมพูดถึงประสาทสัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง ในแง่นี้เสียงคือมิติที่ 4 ที่มันสามารถควบคุมความรู้สึกหรือควบคุมการใช้ชีวิตของคนได้ เราเจอกับเสียงตลอดเวลาตั้งแต่ตอนเช้า โดยเฉพาะกับเสียงดนตรี เรื่องคอร์ดก็มีผลกับความรู้สึก คอร์ดไมเนอร์ให้ความรู้สึกเศร้า เมเจอร์ทำให้รู้สึกสดใส เวลาเดินช้อปปิ้งในช่วงลดราคา เขาจะเปิดเพลงเร็วหรือเพลงแดนซ์เพื่อกระตุ้นให้คนช้อปปิ้งเร็วขึ้น หรือในร้านอาหารที่มีโปรโมชันบุฟเฟต์ก็อาจจะเปิดเพลงบางอย่างวนไปวนมา เพื่อให้คนลุกออกไปให้เร็วที่สุด
(ทอมท่อม-ณธีพัฒน์ ประเสริฐมนูกิจ, คีย์บอร์ด)
เวลาวง Mild ทำแต่ละเพลงออกมา จะต้องคิดถึงเรื่องการควบคุมความรู้สึกของคนฟังมากขนาดไหน
ทอมท่อม: ถ้าในความรู้สึกผมอาจจะไม่ถึงขนาดควบคุม แต่มันคือการถ่ายทอดอารมณ์แบบที่เราคิดให้คนฟังได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา
เป้: แต่เวลาเขียนเพลง ผมค่อนข้างคิดเรื่องควบคุมความรู้สึกของคนฟังพอสมควรนะ เพราะผมอยากจะให้เขารู้สึกไปในทางที่ผมอยากให้เป็น ตรงนี้อาจจะคล้ายกับที่ทอมท่อมบอก อย่างเวลาเขียนเพลงช้าหรือเพลงเศร้า ความเศร้ามันมีหลายแบบ เศร้าเพราะเสียใจ เศร้าเพราะเสียดาย เราต้องพยายามบีบให้คนฟังรู้สึกถึงรายละเอียดพวกนั้นให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นคนฟังอาจหลงทางกับความรู้สึก ไม่อินกับเพลง และสุดท้ายเพลงจะไปไม่ถึงคนฟัง ไม่ใช่แค่เนื้อหานะ ทั้งมู้ดแอนด์โทน คีย์ของเพลง จังหวะ ทุกอย่างต้องคิดมาเพื่อควบคุมให้คนฟังรู้สึกแบบเดียวกับเรา
(เป้-บดินทร์ เจริญราษฎร์, ร้องนำ)
คิดว่าเพลงไหนของวง Mild ที่ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกคนดูให้ไปทิศทางเดียวกับเราได้ดีที่สุด
เป้: น่าจะเป็น Unloveable (อัลบั้ม Mild) เห็นได้จากเวลาไปเล่นเพลงนี้หลายๆ ครั้ง ตั้งแต่แรกๆ ที่คนร้องไห้กับเพลงนี้ ทั้งๆ ที่บางคนเขายังร้องเพลงนี้ไม่เป็นด้วยซ้ำ เพราะมันจะช่วงหลังจากท่อน ต่อให้ฉัน จะรักเธอมากเท่าไร แล้วการร้องจะเร็วๆ มั่วๆ เหมือนดำน้ำนิดหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อนะ เพราะเขาไม่รู้เนื้อเพลง แต่กลายเป็นเพลงที่อยู่ในใจของคนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นบางทีความรู้สึกในเพลงอาจจะสำคัญมากกว่าตัวอักษรหรือคำพูดก็ได้
มีเสียงไหนบ้างที่พวกคุณชอบฟัง หรือเมื่อฟังแล้วจะทำให้นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่คิดถึงมากที่สุดขึ้นมาได้
ไมค์: ผมชอบเสียงที่ได้ยินตอนเด็กๆ ที่แม่กำลังก่อไฟเตาถ่าน พอได้ยินเสียงถ่านลั่นเปรี๊ยะๆ มาพร้อมกับเสียงโขลกน้ำพริก เราจะรู้เลยว่าเย็นนี้มีของดีแน่นอน
ขุน: ผมชอบเสียงไอศกรีมรถเข็นที่จะมีเสียงแตรหรือเสียงกระดิ่งดังกริ๊งๆ ขึ้นมา แล้วทำให้นึกถึงภาพตอนเด็กๆ ที่พอได้ยินแล้วต้องวิ่งออกไปตามตลอด
เป้: ผมชอบได้ยินเสียงฝนครับ เพราะเสียงฝนจะมาคู่กับกลิ่นดิน เป็นสองความรู้สึกต่อเนื่องกันที่ผมชอบมาก เพราะเสียงฝนจะทำให้รู้สึกเหงา แต่พอได้กลิ่นดินอวลขึ้นมาจะทำให้รู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย เหมือนมีกลิ่นดินมาช่วยปลอบประโลมความเหงาให้เรา พอบวกกับเพลงดีๆ สักเพลง และรวมกับความรู้สึกของเราตอนนั้นเข้าไปมันจะกลายเป็นสุนทรียภาพที่ดีมาก
Mild เป็นวงที่เพลงเศร้าทำให้คนร้องไห้เยอะมาก กลับกันมีเพลงไหนของศิลปินคนอื่นบ้างที่ทำให้พวกคุณเสียน้ำตาได้เหมือนกัน
เป้: ผมมีเพลงหนึ่งที่ชอบมากจนถึงตอนนี้คือเพลง ไม่ผิดสักคน ของวง Slot Machine ฟังทุกครั้งแล้วรู้สึกดีปทุกครั้ง ยิ่งช่วงไหนอกหักนี่ฟังแล้วร้องไห้ตลอด กับอีกเพลงหนึ่งคือเพลง ไม่มีฉัน ของวง 8 ไม้เท้า
ทอมท่อม: เพลง อย่าเกลียดกันก็พอ เวอร์ชัน B5 ต้องเป็นเวอร์ชันนี้ด้วยนะ เพราะน้ำเสียงของแต่ละคนที่ร้องเพลงนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก
เต่า: เก็บไว้ให้เธอ ของวง Scrubb ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอกหักผิดหวังกับความรักนะ เป็นความรู้สึกอึดอัดกับความรักที่ไปต่อไม่ได้ พอเพลงนี้ขึ้นมาแล้วมันทัชกับเรามาก มันเหงา เศร้า โดดเดี่ยว อยู่ด้วยกันนะ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ความรัก เป็นความสับสนใจตัวเองว่าเราจะเอายังไงต่อไปดี
ขุน: ของผมเพลง มา ของวง Moderndog ผมมีอดีตกับเพลงนี้ตั้งแต่ ม.ต้น ตอนนั้นมีความรักแบบเด็กๆ แล้วก็ผิดหวัง แล้วเพลงนี้ก็มาในช่วงนั้นพอดี เจ็บกับมันมากจนเหมือนเป็นแผลอย่างหนึ่งในใจของเรา แล้วก็เป็นอยู่นานเลยนะ จนโตขึ้นมาค่อยดีขึ้น
(เป้-ไพสิฐ คำกลั่น, แซกโซโฟนและคอรัส)
เป้ (แซกโซโฟน): เพลง Today, Last Year (วันนี้เมื่อปีก่อน) ของวง Moderndog เมื่อก่อนเราก็จะร้องไห้กับเพลงอกหักทั่วไปเยอะแยะมากมาย แต่พอถึงวัยหนึ่งเราจะไม่ฟูมฟายกับเพลงเศร้าพวกนั้นแล้ว แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่บอกกับคนที่โตแล้วว่า ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตมันเป็นแค่ลมที่พัดเข้ามาแล้วจะพัดออกไป อย่าเก็บลมอันนั้นเอาไว้นาน ปล่อยให้มันไหลไป แล้วทุกอย่างจะผ่านไป แล้วเราจะโอเค มันไม่ใช่ว่าเราจะสุขมากกว่าเดิมหรือเศร้ามากกว่าเดิมด้วยนะ แต่มันแค่อยู่ตรงกลาง แล้วมันจะโอเค และไม่ใช่แค่ความรู้สึกของคนฟังที่ต้องโตประมาณหนึ่งก่อนถึงจะเข้าใจนะ ผมเคยคุยกับพี่ป๊อด เขาก็บอกว่าถ้าไม่ได้อายุ 40 ก็คงแต่งเพลงแบบนี้ออกมาไม่ได้เหมือนกัน
วง Mild มีเพลงแบบนั้นบ้างไหม ที่สามารถแต่งขึ้นมาได้เฉพาะช่วงเวลาที่เติบโตขึ้นมาประมาณหนึ่งแล้วเท่านั้น
เป้: เพลง ที่จริงเราไม่ได้รักกัน เป็นเพลงอกหักที่เข้าใจความรักพอสมควร คือเรายังมีความเจ็บปวด ความฟูมฟายของความรักที่สูญเสียไปอยู่นะ แต่มันถูกระบายและถ่ายทอดออกมาในมุมมองของความเข้าใจ เข้าใจว่าก่อนจะเลิกกันในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าเราทะเลาะกัน ไม่ได้เลิกกันเพราะข้ออ้างใดๆ ที่พยายามหาให้กัน แต่มันง่ายๆ แค่เราไม่ได้รักกันเท่านั้นเลย
ด้วยความผูกพันที่เรามีให้กัน หน้าที่ต่างๆ ที่เราคิดว่าควรจะต้องทำให้กันและกัน มันมีการต้องทำ ไม่ใช่ทำเพราะความเสน่หา ไม่ใช่อยู่ทน แต่เราแค่ทนอยู่กันไป ถ้าเราคิดว่าทั้งหมดยังเป็นความรัก เราก็จะเศร้าฟูมฟายกับมัน แต่พอวันหนึ่งเรารู้ความจริงข้อนี้ ทุกอย่างมันจะคลี่คลาย มันคงต้องเป็นความรักของคนที่โตพอสมควร ผ่านอะไรมาประมาณหนึ่งถึงจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้
เพลง ที่จริงเราไม่ได้รักกัน วง Mild
อีกความหมายหนึ่งของมิติที่ 4 คือเรื่องของความสมจริง คิดว่าเพลงไหนของวง Mild ที่จริงกับชีวิตของแต่ละคน
เป้: ของผมคือเพลง Fullmoon ครับ จริงๆ เพลงนี้ไม่ได้อยู่ในลิสต์อัลบั้ม MI4D (โฟร์) ด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นเพลงที่ผมรู้สึกว่าร้องแล้วอินไปกับเพลงได้มากที่สุด ปกติผมเขียนเพลงจากเรื่องจริงทั้งหมดอยู่แล้ว ทั้งรับฟังจากคนอื่น ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เพลงนี้เกิดขึ้นเพราะคนคนหนึ่งที่ผมรู้สึกอะไรแบบนี้กับเขา แล้วเราอยากถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงนี้ แล้วทำให้รู้สึกว่ามันสมจริงเหลือเกิน ผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วนะ
เป็นเพลงที่ผมเขียนเร็วมากเลยนะ ผมเขียนระหว่างนั่งเครื่องบินจากต่างจังหวัดกลับมากรุงเทพฯ ใช้เวลากลั่นกรองสักพัก แล้วเริ่มเขียนตั้งแต่เครื่องขึ้น พอเครื่องลงก็เสร็จพอดี
ทอมท่อม: เออ ผมไม่ได้เห็นมันแต่งเพลงเร็วแบบนี้ และแต่งให้ใครแบบนี้มานานมากแล้วนะ เพลงที่เป้ถ่ายทอดความรู้สึกให้ใครสักคนแบบ Puppy Love แบบนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้วจริงๆ อาจจะเป็น 2-3 ปีแล้วนะ นานมากๆ
ขุน: ของผมเป็นเพลง รักเราไม่เท่ากัน (อัลบั้ม Ma Show) มันไม่ใช่แค่ความรัก แต่มันใช้ได้กับหลายๆ เรื่องในชีวิตเลย เพราะขนาดเพลงแต่ละเพลงเราก็รักมันไม่เท่ากัน หรือคำคำหนึ่งที่พูดออกมาจากปากแต่ละคนก็มีความหมายไม่เท่ากัน คนฟังก็รู้สึกไม่เท่ากัน ผมว่าความหมายของเพลงนี้มันครอบคลุมความจริงของชีวิตได้หมดเลย
ไมค์: เพลง ที่จริงเราไม่ได้รักกัน ในช่วงเวลาที่เราสับสนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับความรักในตอนนั้นคืออะไร พอถอยออกมาแล้วค่อยๆ มองมันอีกครั้ง แล้วเห็นว่า อ๋อ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะเราไม่ได้รักกันเลย มันแค่นี้เอง
(เต่า-เจน มโนภินิเวศ, กีตาร์)
เต่า: เพลง Forever (อัลบั้ม Master Peace) กับเพลง Over (อัลบั้ม MI4D) เป็น 2 เพลงที่ผมเขียนเอง มันเขียนมาจากชีวิตจริงในช่วงนั้นๆ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นเพลงที่รู้สึกว่าจริงกับเรามากที่สุด ปกติผมเขียนเพลงไม่เก่ง แต่พอเป็น 2 เพลงนี้ ถ้าไม่นับช่วงเกลาให้มันสวยงาม ผมเขียน 20 นาทีก็เสร็จแล้ว
ความพิเศษของมิติที่ 4 ในคอนเสิร์ต MI4DX ที่คนดูจะได้รับในครั้งนี้มีอะไรบ้าง
เป้: เราจะพยายามทำทุกอย่างให้เป็น 4DX มากที่สุด ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ทุกอย่างที่ส่งถึงคนฟังได้เราจะส่งไปให้มากที่สุด เราดีไซน์ทางเดินของพวกเราให้ไปถึงคนดูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีรสชาติจากสปอนเซอร์ของเรา มีแสง สี เสียง เอฟเฟกต์ทุกอย่างจะกระแทกใส่คุณเต็มที่
มากกว่านั้นคือเพลงของเราทั้งหมดที่จะพยายามทำออกมาให้สนุกที่สุด มีโชว์หลายอย่างที่เราอยากทำ และเป็นมิติอื่นๆ ที่หลายคนไม่เคยเจอมาก่อน รวมไปถึงแขกรับเชิญพิเศษที่ชื่ออาจจะไม่พิเศษมาก แต่โชว์ของเขาจะพิเศษแน่นอน
(ขุน-พิทวัส ขุนทอง, เบส)
ขุน: ครั้งที่แล้ว 1235 Mild Live Concert (ปี 2004) มันถูกเล่าในคอนเซปต์ว่า พวกเราอยากนำเสนออะไรบ้าง ไม่ได้คิดว่าคนจะอยากได้แบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า แต่ครั้งนี้เป็นคอนเซปต์ว่า เราอยากให้คนดูได้รับอะไร และทุกอย่างต้องทำให้ทุกคนประทับใจ และรู้สึกสวยงามไปกับทุกอย่างทั้งเพลงและทุกๆ มิติที่เราเลือกนำเสนอออกมา
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- MI4DX Concert จัดขึ้นในวันที่ 14 กันยายน 2561 ที่ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี บัตรราคา 1,200-1,900 บาท ซื้อบัตรได้ที่ www.thaiticketmajor.com