Billboard เปิดเผยรายงานการประเมินรายได้ที่ Taylor Swift ทำได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากปล่อยอัลบั้ม The Life of a Showgirl โดยพวกเขากล่าวถึงการคำนวณยอดขาย ปัจจัยที่ทำให้อัลบั้มของเธอทำเงินได้สูง ตลอดจนภาพรวมของรายได้เมื่อเทียบกับอัลบั้มก่อน
สื่อดนตรีชื่อดังรายนี้ประเมินว่า เธอสามารถทำรายได้จากการปล่อยอัลบั้มนี้ในสัปดาห์แรกราวๆ 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก โดยตัวเลข 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นมาจากในสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว
ยอดขายอัลบั้มในสหรัฐสัปดาห์แรกเปิดตัวที่ 4.002 ล้านยูนิต (รวมยอดขายทั้งอัลบั้มจริงและการสตรีมมิ่งเทียบเท่า) ซึ่งถือเป็นอัลบั้มแรกในยุคปัจจุบันที่ขายได้ทะลุ 4 ล้านยูนิต และแม้ว่าจะไม่ใช่ยอดขายทั่วโลก แต่ Billboard ก็ย้ำว่า อัลบั้มนี้มียอดสตรีมทั่วโลกถึง 1.4 พันล้านครั้ง และแคมเปญการตลาดของทีมศิลปินหรือค่าย Republic Records ก็ยังทรงพลังจนสามารถขับเคลื่อนยอดขายได้เช่นกัน
โดยกลยุทธ์การขายอัลบั้มนี้เป็นปัจจัยสำคัญของการทำเงิน โดยอัลบั้มนี้มีทั้งหมด 38 เวอร์ชัน ทั้งซีดี ไวนิล เทปคาสเซ็ตต์ แผ่นลิมิเต็ดที่มาพร้อมของสะสมหรือแทร็กพิเศษ ซึ่งกระตุ้นให้แฟนๆ ซื้อสะสม และยอดขายราวๆ 65% ก็มาจากเว็บไซต์สโตร์โดยตรงของเธอ (2.6 ล้านหน่วย) ซึ่งการขายในเว็บไซต์นี้ก็เป็นราคาปลีกเต็มที่สูงกว่าราคาส่งให้ร้านค้าทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้เธอได้กำไรต่อแผ่นมากกว่าศิลปินทั่วไปอย่างน้อย 25% และเธอก็ยังทำกำไรได้จากสินค้าธีม Showgirl ที่ขายในเว็บไซต์กว่า 30 ชิ้น เช่น เสื้อฮู้ด คาร์ดิแกน กางเกง เสื้อยืด เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน แฟนๆ ก็เลือกฟังเพลงผ่านช่องทางที่ต้องจ่ายเงินฟังเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นรายได้ต่อการสตรีมแต่ละครั้งก็จะสูงกว่ามาตรฐานอัลบั้มเพลงทั่วไป และยิ่งเธอเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมด ส่วนแบ่งรายได้ของเธอก็จะสูงถึง 70-90% หลังหักค่าดำเนินการต่างๆ แล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการประเมินรายได้จาก Billboard เท่านั้น และแม้ว่ายอดเปิดตัวอัลบั้ม The Life of a Showgirl จะสร้างสถิติใหม่มากมาย แต่โดยรวมแล้วยังไม่สูงเท่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ เพราะจากการเก็บข้อมูลที่สิ้นสุดในวันอาทิตย์ 16 ตุลาคม 2025 ยอดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 11.23 ล้านยูนิต แต่เมื่อเทียบกับปี 2023-2024 ที่มีการทัวร์คอนเสิร์ตและอัลบั้ม The Tortured Poets Department มาช่วยหนุนยอดขาย เธอก็เคยทำสถิติกับอัลบั้มต่างๆ ไว้แล้วที่ 15 ล้านยูนิต (2024) และ 12.3 ล้านยูนิต (2023)
ภาพ: Mert Alas, Marcus Piggott & TAS Rights Management
อ้างอิง:


