×

จากความผันผวนสู่ความมั่นคง: ประกันชีวิตกับบทบาทใหม่ในยุคเศรษฐกิจเปลี่ยนเร็ว

26.10.2025
  • LOADING...
thailand-gdp-imf-worldbank-economic-forecast

เมื่อโลกเปลี่ยนเร็ว ความมั่นคงจึงต้องออกแบบใหม่

 

ในช่วงเวลาไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญกับเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ไปจนถึงเงินเฟ้อที่พุ่งสูง และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า โลกยุคใหม่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

 

ในปี 2025 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกให้เติบโตที่ 3.0% สูงกว่าที่เคยประเมินไว้ แต่สำหรับเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกกลับปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือเพียง 1.8% จากแรงกดดันด้านการส่งออกที่เปราะบาง การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว

 

ขณะเดียวกัน องค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เตือนว่า ผลกระทบเชิงลบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจโลกยังไม่ปรากฏครบถ้วน ซึ่งอาจส่งผลต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทานในระยะถัดไป

 

แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ มีกลุ่มคนที่ไม่เพียงแต่อยู่รอดได้ แต่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง จากรายงานอินไซต์พฤติกรรมผู้บริโภคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ PWC ปี 2024 พบว่าคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ยืดหยุ่นและปรับตามการใช้ชีวิตจริงได้ ชี้ให้เห็นว่า ‘การสร้างหลักประกันความมั่นคง’ กำลังกลายเป็นโจทย์สำคัญทั้งสำหรับผู้คนและธุรกิจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

คำถามคือ อะไรที่ทำให้บางคนเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส?

 

กลยุทธ์ใหม่สำหรับเกมที่เศรษฐกิจเปลี่ยนไป

 

เมื่อกติกาเปลี่ยน กลยุทธ์จึงต้องปรับ การบริหารความเสี่ยงในยุคนี้ไม่ใช่แค่การ ‘ป้องกัน’ แบบเดิม แต่เป็นการ ออกแบบระบบความมั่นคงทางการเงิน ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์อนาคต

 

IMF ธนาคารโลก GDP ไทย คาดการณ์เศรษฐกิจ 2025

 

3 เสาหลักของความมั่นคงทางการเงินยุคใหม่

 

  • Foundation Security – การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เน้นความปลอดภัยของเงินลงทุน เช่น เงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล และประกันชีวิต
  • Strategic Diversification – การกระจายการลงทุนอย่างชาญฉลาด หลักการ ‘ไม่ใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว’ ยังคงเป็นจริงเสมอ
  • Emergency Resilience – การมีเงินสำรองฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่มีภาระหนี้สิน ควรมีเงินสำรอง 6-12 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือน

 

ในบรรดาเสาหลักเหล่านี้ ‘ประกันชีวิต’ คือกลไกที่น่าสนใจ เพราะไม่ใช่เพียงเครื่องมือป้องกัน แต่ยังเป็น ฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจในภาพรวม

 

ประกันชีวิต: เครื่องมือสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวน

 

รายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และ World Bank ชี้ว่า ประเทศที่มีอัตราการทำประกันชีวิตและสุขภาพสูง มักมีความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าในยามวิกฤติ ทั้งในแง่การกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน

 

สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเบี้ยประกันที่จ่ายเข้าไป ไม่ได้หยุดอยู่ที่บริษัทประกัน แต่จะ หมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ บางส่วนถูกนำไปลงทุนในตลาดทุน บางส่วนกันไว้เป็นเงินสำรองเพื่อจ่ายสินไหม และอีกส่วนหนึ่งกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่สร้างรายได้ให้ผู้คนในระบบ

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Economic Shock Absorber’ หรือ กันชนเศรษฐกิจ ที่ช่วยให้ประเทศสามารถรับแรงกระแทกจากวิกฤติและฟื้นตัวได้เร็วกว่า

 

ญี่ปุ่น: วัฒนธรรมประกันที่สร้างภูมิคุ้มกันระดับชาติ

 

แนวคิดเรื่อง ‘กันชนเศรษฐกิจ’ ไม่ได้หยุดอยู่ในเชิงทฤษฎี แต่ปรากฏเป็นรูปธรรมในหลายประเทศ โดยหนึ่งในกรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดคือ ญี่ปุ่น ประเทศที่เผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ หรือสภาพอากาศที่รุนแรง สิ่งเหล่านี้ทำให้การวางแผนรับมือกลายเป็นวัฒนธรรมที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านการทำ ประกันชีวิต

 

IMF ธนาคารโลก GDP ไทย คาดการณ์เศรษฐกิจ 2025

 

ญี่ปุ่นถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบประกันชีวิตเข้มแข็งที่สุด

  • Insurance Density สูงที่สุด: จัดเป็นประเทศที่ประชากรทำประกันมากที่สุดประเทศหนึ่ง 
  • จำนวนกรมธรรม์ต่อประชากรสูงมาก: ประชากรถือกรมธรรม์เฉลี่ยคนละ 3.2 ฉบับ 
  • อัตราเบี้ยประกันต่อ GDP สูง: อยู่ที่ 8 – 8.5%
  • ความครอบคลุมในครัวเรือน: มากกว่า 90% ของครัวเรือนมีประกันชีวิต 

 

และที่สำคัญ นอกจากประกันชีวิตแบบดั้งเดิมแล้ว คนญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับประกันที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลและการประกันรายได้หลังเกษียณ สะท้อนว่าการทำประกันไม่ใช่เพียงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงระยะสั้น แต่เป็น ‘วัฒนธรรมการวางแผนชีวิต’ ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย

 

เมื่อเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในปี 2011 ที่สร้างความเสียหายกว่า 210 พันล้านดอลลาร์ บริษัทประกันญี่ปุ่นจ่ายค่าสินไหมกว่า 1.2 ล้านล้านเยน เงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกอัดฉีดกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในระดับครัวเรือน ประชาชนที่มีประกันสามารถเข้าถึงเงินชดเชยเพื่อใช้ฟื้นฟูชีวิตได้ทันที

 

และในวิกฤตโควิด-19 การมีระบบประกันที่ครอบคลุมยังช่วย ลดภาระการใช้จ่ายของรัฐบาล ทำให้รัฐสามารถนำงบประมาณไปจัดการปัญหาสำคัญด้านอื่นๆ ได้ ขณะเดียวกัน ประชาชนก็ยังมั่นใจที่จะจับจ่ายและลงทุนต่อเนื่อง

 

นี่คือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Systemic Financial Resilience หรือ ความยืดหยุ่นเชิงระบบ ที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งประชาชนและสถาบันการเงินมี ‘เกราะป้องกัน’ ร่วมกันทั้งประเทศ

 

เสถียรภาพที่ขับเคลื่อนด้วยระบบประกัน

 

ญี่ปุ่นอาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของประเทศที่ใช้ ‘วัฒนธรรมประกัน’ เป็นฐานในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่หากมองในระดับโลก จะพบรูปแบบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน – ตลอดกว่า 80 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีประเทศใดที่มีอัตราการทำประกันสูงกว่า 8% ของ GDP แล้วต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจาก IMF

 

ตัวอย่างเช่น สวิตเซอร์แลนด์ (9.3%) ที่ผ่านทุกวิกฤตเศรษฐกิจโดยไม่ถดถอย, เนเธอร์แลนด์ (8.9%) ที่ฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินโลกปี 2008 ได้เร็วที่สุดใน EU และ เดนมาร์ก (8.1%) ที่ครองอันดับต้นๆ ของ World Happiness Index ต่อเนื่องหลายปี

 

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น รูปแบบแห่งความสำเร็จ ที่พิสูจน์มาแล้วว่า:

  • ประชาชนมีประกันมากขึ้น → ความมั่นใจทางการเงินเพิ่มขึ้น
  • ความมั่นใจสูงขึ้น → เกิดการใช้จ่ายและการลงทุน
  • เศรษฐกิจเติบโต → รายได้ประชาชนสูงขึ้น
  • รายได้ที่มากขึ้น → สนับสนุนให้มีการทำประกันเพิ่มขึ้นอีก

 

นักเศรษฐศาสตร์จึงนิยามปรากฏการณ์นี้ว่า Insurance-Led Economic Stability — เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยระบบประกัน ซึ่งไม่ได้หยุดอยู่แค่การป้องกันรายบุคคล แต่ยังเสริมความแข็งแรงให้เศรษฐกิจในภาพรวม

 

The Thai Opportunity: จุดเปลี่ยนของคนไทยรุ่นใหม่

 

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บน ‘จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจ’ ปัจจุบัน Insurance Penetration ของไทยอยู่ที่ประมาณ 5.3% ของ GDP (ข้อมูล UNDP 2020) ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีสัดส่วน 8-12% ช่องว่างนี้ คือ ‘โอกาส’ ที่รอการเติมเต็ม

 

แผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 (2021-2025) ของ คปภ. กำหนดทิศทางชัดเจนว่าจะผลักดันให้ไทยขยับไปสู่ระดับดังกล่าว ข้อมูลจาก Statista (2022) พบว่า ประมาณ 40% ของคนไทยยังไม่มีประกันใดๆ ขณะที่การสำรวจของ Peak Re ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (2023) พบว่า insurance awareness มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ownership rate หรือ อัตราการถือครองกรมธรรม์ประกัน อย่างชัดเจน

 

The Mindset Revolution: จากการป้องกัน สู่การลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคต

สิ่งที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดขึ้นได้จริง คือการ เปลี่ยนวิธีคิด ของคนไทยต่อประกันชีวิต จากสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น ‘การป้องกัน’ ไปสู่การเป็น Strategic Life Investment หรือการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคต ซึ่งสร้างผลตอบแทนหลายมิติ ไม่ใช่เพียงความคุ้มครอง

  1. Financial Protection – ปกป้องรายได้และทรัพย์สิน พร้อมความอุ่นใจเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด
  2. Systematic Saving – ออมเงินอย่างมีระบบและต่อเนื่อง
  3. Investment Growth – สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต่อยอดความมั่งคั่งระยะยาว
  4. Tax Efficiency – ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี
  5. Psychological Security – ความมั่นใจที่ช่วยให้ตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมั่นคง

 

และเมื่อมองจากระดับบุคคลไปสู่ระดับเศรษฐกิจมหภาค จะยิ่งเห็นชัดว่า ‘การลงทุนผ่านประกันชีวิต’ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการสร้างความมั่นคงให้เจ้าของกรมธรรม์ แต่ยังขยายผลกลับสู่ระบบเศรษฐกิจในวงกว้างด้วย

 

งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ค้นพบว่า การลงทุนในระบบประกันสามารถสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจในระยะยาว เบี้ยประกันหมุนเข้าสู่ตลาดทุน → ธุรกิจมีสภาพคล่อง → เกิดการจ้างงานและนวัตกรรม → รายได้เพิ่มขึ้น → เศรษฐกิจเติบโต → กลับมาสนับสนุนให้ประชาชนสามารถทำประกันได้มากขึ้นอีก

 

นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลหลายประเทศเลือกส่งเสริมการทำประกัน ไม่ใช่เพียงเพื่อสนับสนุนบริษัทประกัน แต่เพื่อสร้าง Economic Immune System หรือ ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ทั้งประเทศยืนหยัดได้ในยุคแห่งความผันผวน

 

เมื่อความผันผวนกลายเป็นความปกติใหม่ (the new normal) การมีประกันชีวิตคือการลงทุนใน ‘ระบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต’ ที่ช่วยให้ทั้งบุคคล ครอบครัว และประเทศเดินหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

ประสบการณ์จากหลายประเทศพิสูจน์แล้วว่า ระบบประกันที่แข็งแรง ทำให้สังคมไม่เพียงแต่อยู่รอดในยามวิกฤติ แต่ยังสามารถใช้ช่วงเวลาแห่งความท้าทายเป็นโอกาสในการเติบโตและสร้างเสถียรภาพระยะยาว

 

สำหรับประเทศไทย วันนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญ คนรุ่นใหม่มีทางเลือกสองเส้นทาง:

  • Opportunity Surfers – ผู้เรียนรู้ที่จะโต้คลื่นความผันผวน และเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
  • Opportunity Creators – ผู้ไม่เพียงแค่ปรับตัว แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคมในอนาคตที่ดีกว่า

 

คำถามคือ – คุณจะเลือกเป็นใคร?

 

เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่สามารถเริ่มได้ทันที จากการออกแบบการเงินของเราในวันนี้ เพื่อให้อนาคตมั่นคงอย่างที่ต้องการ 

 

ภาพ: SvetaZi/Getty Images

 

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising