สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อมวลชนไทยที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย วันนี้ (24 ตุลาคม) ก่อนมีกำหนดร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในวันพรุ่งนี้ (25 ตุลาคม) รวมถึงการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN SUMMIT 2025) ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้
รัฐมนตรีต่างประเทศตอบคำถามหลายประเด็นที่อยู่ในความสนใจของคนไทย รวมถึงประเด็นที่คาดว่าจะมีการหารือหรือให้ความสำคัญในเวที ASEAN SUMMIT ปีนี้ด้วย
ประเด็นสแกมเมอร์ และความสำคัญของ ASEAN SUMMIT ครั้งนี้
- รัฐมนตรีต่างประเทศชี้ว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนปีนี้มีความสำคัญอย่างมาก นอกจากผู้นำอาเซียนจะได้พบปะกันแล้ว ยังจะมีการหารือกับผู้นำประเทศคู่เจรจาที่สำคัญ ทั้งจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลียด้วย
- ประเด็นที่หลายประเทศให้ความสำคัญในเวลานี้คือการร่วมมือกันปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาสแกม ซึ่งผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภูมิภาคเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เช่น คนเกาหลีและคนอเมริกันก็ตกเป็นเหยื่อขบวนการเหล่านี้ด้วย ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ควรเป็นวาระระดับอาเซียนเท่านั้น แต่ควรเป็นวาระระหว่างประเทศ
- สีหศักดิ์ชี้ว่า ประเทศไทยมีกลไกในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่แล้ว รวมถึงกรอบการพูดคุยภายในอาเซียน ดังนั้นจึงมีความพร้อมและควรเป็นแกนนำในการส่งเสริมและกระชับความร่วมมือในภูมิภาคและระหว่างประเทศในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งไทยจะชูเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญในที่ประชุมด้วย
- ส่วนจะมีการออกปฏิญญาร่วมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสแกมในที่ประชุมอาเซียนหรือไม่นั้น รัฐมนตรีเผยว่า จะมีถ้อยคำปรากฏในเอกสารผลลัพธ์การประชุมต่างๆ โดยอย่างน้อยในถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ก็จะมีเรื่องนี้ทั้งในเวทีของอาเซียนและเวทีอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา โดยรัฐมนตรีเสนอแนวคิดว่า ควรมีเวทีประชุมแก้ปัญหาสแกมกับประเทศภายนอกอาเซียนเป็นการเฉพาะด้วย
ความท้าทายและจุดยืนของอาเซียน ท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ
- รัฐมนตรีชี้ว่า อาเซียนกำลังเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโจทย์ว่า อาเซียนจะรับมืออย่างไร สำหรับไทยไม่ใช่การเป็นกลางที่ยืนอยู่ตรงกลาง แต่ไทยจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับมหาอำนาจทั้งสอง ส่วนในมุมระดับอาเซียนนั้น ก็มีความท้าทายที่ไม่อยากเห็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนถูกดึงเข้ามาสู่ภูมิภาค
- รัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยให้ความสำคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและสหรัฐฯ รวมถึงกับมหาอำนาจอื่นๆ ด้วย เพราะไม่ได้มีเพียงจีนกับสหรัฐฯ เท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญต่อภูมิภาค แต่ยังมีอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลียด้วย ที่เราอยากเห็นความร่วมมือที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาในภูมิภาค
- สำหรับสหรัฐฯ นั้น รัฐมนตรีกล่าวว่า สหรัฐฯ มีแนวคิดที่จะเป็นแกนนำอินโดแปซิฟิก โดยส่งเสริมภูมิภาคนี้ให้เปิดกว้างและมีเสรีภาพ และแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคนี้อยู่ และจะไม่ทิ้งพันธมิตรไปไหน
- ส่วนการที่โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางมาร่วมประชุมปีนี้ อีกหนึ่งวาระที่ผู้คนจับตาคือจะมีการหยิบยกเรื่องภาษีมาพูดคุยบนโต๊ะเจรจาด้วยหรือไม่ ซึ่งสีหศักดิ์เผยว่า การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในเรื่องข้อตกลงการค้ายังคงดำเนินต่อไป ส่วนการประชุมอาเซียนครั้งนี้ จะมีการประกาศดีลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับมาเลเซีย และอาจจะมีอินโดนีเซียด้วย
ปมไทย-กัมพูชา สู่ ‘คำประกาศเจตนารมณ์’ เพื่อนำผลการหารือไปปฏิบัติ
- รัฐมนตรีสีหศักดิ์ย้ำว่า ประเด็นชายแดนไทยกับกัมพูชาจำเป็นต้องคุยกันและหาข้อยุติในกรอบทวิภาคี นี่คือท่าทีของไทย ซึ่งประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญคือ การลดกำลังทางทหารบริเวณชายแดน การถอนอาวุธหนัก การเก็บกวาดทุ่นระเบิด การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชายแดน และการไม่ให้กัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทย
- รัฐมนตรีมองว่า บทบาทของสหรัฐฯ และมาเลเซียต่อประเด็นไทย-กัมพูชานั้น ถือเป็นความหวังดีในฐานะผู้อำนวยความสะดวก หากสองประเทศนี้ช่วยโน้มน้าวให้กัมพูชาคุยกับเราอย่างจริงจังได้ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี สีหศักดิ์ย้ำด้วยว่า บทบาทในกรอบ 4 ฝ่ายที่มีสหรัฐฯ และมาเลเซียด้วยนั้น หัวใจสำคัญในนั้นยังคงเป็นสองฝ่าย ซึ่งก็คือ ไทยและกัมพูชา แต่ 4 ฝ่ายก็ทำให้เกิดความคืบหน้าเรื่อยมา ตั้งแต่การประชุมที่นิวยอร์ก ต่อมาจนถึงการประชุมที่กัวลาลัมเปอร์ 2 รอบ
- สิ่งสำคัญที่ไทยอยากเน้นคือ กัมพูชาต้องนำผลการหารือไปปฏิบัติด้วย โดยในวันที่ 25 ตุลาคมนี้จะมีการพูดคุยกันระหว่างแม่ทัพภาค 4 ของฝ่ายกัมพูชากับแม่ทัพภาค 2 ของไทย เพื่อดูว่าจะมีการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักเมื่อใดและอย่างไร นอกจากนี้ในวันเดียวกันก็จะมีการลงพื้นที่ชายแดน โดยดูว่ากัมพูชาเริ่มเก็บกวาดทุ่นระเบิดแล้วหรือไม่ ซึ่งท้ายที่สุดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องการให้นำไปสู่การเปิดหน้าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกัมพูชาต้องจริงใจในการปฏิบัติด้วย
- รัฐมนตรียังแสดงความกังวลว่า ที่ผ่านมากัมพูชามักตีความเรื่องที่กำลังเจรจาในลักษณะเข้าข้างตัวเอง และชิงพื้นที่สื่อเพื่อนำเสนอข่าวก่อน ทั้งที่กระบวนการเจรจายังคงดำเนินอยู่ ซึ่งการตีความฝ่ายเดียวอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ไทยต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับและออกมาชี้แจง
- สำหรับประเด็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับ ‘ข้อตกลงสันติภาพ’ นั้น รัฐมนตรีต่างประเทศมองว่า การจะใช้คำว่าข้อตกลงสันติภาพได้นั้น สิ่งสำคัญคือการนำข้อตกลงไปปฏิบัติ แต่ในเอกสารที่จะลงนามกันถือเป็นคำประกาศเจตนารมณ์เกี่ยวกับแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อที่จะนำไปสู่สันติภาพ โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันด้วย ซึ่งพิธีลงนามในวันที่ 26 ตุลาคมจะมีสหรัฐฯ และมาเลเซีย รวมถึงอาจมีชาติอาเซียนอื่นๆ ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
- รัฐมนตรีมองว่า ที่ผ่านมากัมพูชาพยายามนำปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ แต่เวลานี้กัมพูชามีท่าทีที่เปลี่ยนไป โดยหันมาเน้นการเจรจากับไทยในระดับทวิภาคีอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลจากการที่สหรัฐฯ และมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน เข้ามามีบทบาท
- อีกหนึ่งประเด็นที่อาจจะต้องมีการตกลงกันก็คือ การให้มีคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจว่าจะมีการนำข้อตกลงไปปฏิบัติจริง โดยคณะผู้สังเกตการณ์นี้จะช่วยดูในเรื่องการหยุดยิง การลดกำลังตามแนวชายแดน และการถอนอาวุธหนักกลับไปสู่ที่ตั้งเดิม
สถานการณ์ในเมียนมายังน่าเป็นห่วง
- รัฐมนตรียังแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา โดยปัจจุบันสงครามดำเนินมา 4 ปีแล้ว และยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงปลายปีนี้ รัฐบาลทหารของเมียนมาก็จะจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่เป็นการจัดในพื้นที่ที่กองทัพควบคุมได้ ไม่ได้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ สิ่งที่เป็นห่วงคือ ไทยต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืน การเดินหน้าเรื่องประชาธิปไตย และอนาคตที่ชนกลุ่มน้อยกำหนดได้เอง ซึ่งต้องพูดคุยให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
- สิ่งที่รัฐมนตรีกังวลคือ การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ช่วยยุติปัญหาขัดแย้งที่ยั่งยืน เพราะการจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้นั้น ต้องมีการพูดคุยที่เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ซึ่งหากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่มีส่วนร่วม ก็จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ และสุดท้ายจะไม่นำไปสู่สันติภาพอย่างแท้จริง
- ในส่วนของการทูตระดับอาเซียนนั้น มีกรอบฉันทามติ 5 ข้อ ซึ่งได้มอบหมายให้ทูตพิเศษของอาเซียนติดตาม แต่ปัญหาคือ ทูตพิเศษนี้มีการเปลี่ยนทุกปี ทำให้ภารกิจขาดความต่อเนื่อง ซึ่งท่าทีของไทยคือการสนับสนุนให้วาระการดำรงตำแหน่งของทูตพิเศษมีมากกว่า 1 ปี ซึ่งไทยก็เริ่มมีการพูดคุยว่าอาจจะเสนอเป็น 3 ปี ส่วนผู้ที่จะได้รับคัดเลือกก็ควรเป็นผู้ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับเมียนมาเป็นอย่างดี และเป็นที่ยอมรับในอาเซียน ส่วนหน้าที่ความรับผิดชอบของทูตพิเศษนี้จะไม่ใช่แค่การรายงานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีข้อเสนอแนะด้วยว่าอาเซียนควรมียุทธศาสตร์อย่างไรเพื่อส่งเสริมให้เกิดสันติภาพในเมียนมาภายใต้ฉันทามติ 5 ข้อ
ไทยจะกลับสู่จอเรดาร์โลกได้อย่างไร
- กับคำถามว่าไทยจะกลับสู่จอเรดาร์โลกได้อย่างไรนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศตอบว่า ข้อแรก หากไทยและกัมพูชาสามารถเปิดความสัมพันธ์หน้าใหม่ได้ ก็จะทำให้ไทยสามารถกำหนดบทบาทเชิงรุกในเรื่องอื่นๆ ต่อไปได้ สองคือบทบาทของไทยในการแก้ปัญหาเมียนมาก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะทำให้ไทยมีความโดดเด่นขึ้นมาได้ สามคือ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีน โดยไม่เลือกอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถดำเนินนโยบายได้อย่างเป็นอิสระท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจได้ และสี่คือเราต้องมีส่วนทำให้อาเซียนมีความเข้มแข็ง โดยส่งเสริมการเป็นแกนกลางของอาเซียน ซึ่งศูนย์กลางอยู่ที่นโยบายต่างประเทศของทุกประเทศสมาชิก แต่ที่ผ่านมาไทยหายไปจากการอยู่แนวหน้าในอาเซียน ทั้งที่ไทยเป็นผู้ก่อตั้งอาเซียน
- รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวด้วยว่า มีอีกสิ่งที่บ่งชี้ว่าไทยเริ่มกลับสู่จอเรดาร์แล้ว คือการที่มีประเทศติดต่ออยากพูดคุยกับไทยในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องประเทศไทย พร้อมยกตัวอย่างว่าหลายประเทศมักเชิญนักการทูตสิงคโปร์ไปพูดคุยในเพราะเขารู้ว่าสิงคโปร์สามารถให้มุมมองได้มากกว่าเรื่องของสิงคโปร์ เช่น มุมมองต่อภูมิภาค มุมมองต่ออาเซียน หรือมุมมองต่อจีน ซึ่งในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้ รัฐมนตรีสีหศักดิ์เผยว่า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ทาบทามที่จะขอพบแบบทวิภาคีนอกรอบ ซึ่งก็อาจแสดงให้เห็นว่าบทบาทของไทยมีความสำคัญมากขึ้น และอาจเป็นตัวชี้วัดหนึ่งได้ว่า ไทยเริ่มกลับสู่จอเรดาร์แล้วหรือไม่
ภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ


