Roland Berger เตือนไทยเสี่ยงติด ‘กับดักฐานผลิตราคาถูก’ หากไม่เร่งยกระดับทักษะแรงงานและกลยุทธ์สีเขียว ย้ำ ‘สีเขียวไม่ใช่กระแส แต่คือการอยู่รอด’ พร้อมยกอินโดนีเซียเป็นดาวเด่นแห่งเอเชีย โดยมองไทยว่า มีศักยภาพสูง แต่เผชิญ ‘จุดอ่อน’ สำคัญด้านบุคลากร
Roland Berger บริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ระดับโลก แถลงรายงานวิเคราะห์ทิศทางห่วงโซ่อุปทานโลกในยุคที่เอเชียกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง โดยมีข้อความเตือนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยว่า แม้จะมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะติดอยู่ใน ‘กับดักของฐานผลิตราคาถูก’ หากไม่สามารถยกระดับทักษะแรงงาน และปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างทันท่วงที
จอห์น โลว์ ผู้บริหารประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Roland Berger ย้ำเตือนในงานแถลงข่าวที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า ‘สีเขียวไม่ใช่กระแส แต่คือการอยู่รอด’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกธุรกิจยุคใหม่ ที่การเติบโตไม่ได้วัดกันที่ขนาดหรือกำไรอีกต่อไป แต่คือความยั่งยืนและความยืดหยุ่นเอเชียยุคใหม่ ความยืดหยุ่นคือประสิทธิภาพ
ในรายงาน Asia Supply Chain Reconfiguration ของ Roland Berger ชี้ว่า ศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเคลื่อนย้ายจากตะวันตกมาสู่เอเชียอย่างถาวร โดยมีแรงผลักดันหลักจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กับสหรัฐฯ ทำให้บริษัทในเอเชียเร่งสร้าง ‘ระบบนิเวศเศรษฐกิจแบบครบวงจร’ (Self-Contained Ecosystems) เพื่อลดการพึ่งพาตลาดตะวันตก
รายงานยังระบุอีกว่า เดนี เดอพูซ์ กรรมการผู้จัดการระดับโลกของ Roland Berger อธิบายว่า แนวคิดใหม่คือ ‘ความยืดหยุ่นคือประสิทธิภาพยุคใหม่’ โดยห่วงโซ่อุปทานในอนาคตต้องตอบโจทย์ 4 ด้านพร้อมกัน ได้แก่ มีประสิทธิภาพ (Efficient), ยืดหยุ่น (Resilient), ดิจิทัล (Digital) และยั่งยืน (Sustainable)
ในภูมิภาคอาเซียน อินโดนีเซียถูกยกให้เป็น ‘ดาวเด่น’ ด้วยการครองทรัพยากรนิกเกิล 42% ของโลก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของแบตเตอรี่ EV และกำลังผลักดันกลยุทธ์แบตเตอรี่ระดับชาติเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร ขณะที่มาเลเซียโดดเด่นในฐานะผู้นำด้านการประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (OSAT)
สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่ามีศักยภาพสูงมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ สะท้อนจากตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่พุ่งขึ้นถึง 47% ตั้งแต่ปี 2022 และการเป็นฐานการส่งออกยานยนต์และคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนรองจากเวียดนาม โดยรัฐบาลยังได้ผลักดัน EV Industry Roadmap พร้อมแพ็กเกจสนับสนุนมูลค่าสูงถึง 8.48 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจาก 93,000 คัน เป็น 2.5 ล้านคันภายในปี 2040
อย่างไรก็ตาม จอห์น โลว์ ชี้ว่า จุดอ่อนหลักของไทยคือ การยกระดับทักษะแรงงานหรือบุคลากร โดยการที่ไทยมีต้นทุนแรงงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แรงงานมีทักษะเฉพาะทางน้อย ทำให้ขาดความได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามหรือกัมพูชา และหากยังไม่ยกระดับทักษะแรงงาน และบุคลากรให้มีศักยภาพสูงขึ้น อุตสาหกรรมไทยจะยังคงติดอยู่ในกลุ่มที่ใช้แรงงานมากกว่าใช้เทคโนโลยี
คำเตือนนี้หมายความว่า หากไทยไม่เร่งปรับตัว จะกลายเป็นเพียง ‘ฐานผลิตราคาถูก’ (Low-Cost Manufacturing Base) ไปตลอด ไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็น ‘ศูนย์กลางนวัตกรรม’ (Innovation Hub) ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง และมีรายได้ต่อหัวประชากรสูงขึ้นได้
นอกจากประเด็นด้านทักษะแรงงานแล้ว การปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานสีเขียวก็เป็นอีกปัจจัยชี้ขาด โดยรายงานระบุว่า มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจากสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ ‘กลยุทธ์สีเขียว’ กลายเป็นเงื่อนไขเพื่อให้บริษัท ‘มีสิทธิ์อยู่’ ในตลาดโลกในเชิงบวก
มีรายงานว่า Roland Berger กำลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย เพื่อร่วมวางแนวทาง ‘กลยุทธ์การลงทุนสีเขียว’ ซึ่งจะผูกโยงการส่งเสริมการลงทุนเข้ากับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานสะอาดสำหรับประเทศไทย นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการ ‘กระโดดข้ามกับดัก’ จากประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศพัฒนาแล้ว โดยกุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่เงินลงทุนหรือโครงสร้างพื้นฐาน แต่อยู่ที่ ‘คน’ และความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง