ในโลกแห่งนี้ยังมีพื้นที่ที่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีอายุยืนยาวอย่างน่าอัศจรรย์ อะไรคือ The Secrets of Longevity ต่อไปนี้คือการถอดรหัสชีวิตยืนยาวจากวิถี Blue Zones เพื่อสร้างเป็นวิถีชีวิตที่แข็งแรงและมีคุณภาพสำหรับทุกคน
UOB Privilege Banking ร่วมกับ THE STANDARD LIFE ชวนคุณสำรวจ The Secrets of Longevity เพื่อถอดรหัสชีวิตยืนยาวจาก Blue Zones สู่การนำมาปรับใช้กับชีวิตในเมือง เพราะความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ใช่เพียงตัวเลขในบัญชี แต่คือการมีชีวิตที่ดี แข็งแรง และมีคุณภาพในทุกๆ UOB Privilege Banking จึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายและใจควบคู่กันไปอย่างมีสมดุล
ใน Episode นี้เราได้สัมภาษณ์ หมอโอ๊ค-นพ.สมิทธิ์ อารยะสกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ผู้ซึ่งจะมาไขความลับของวิถีชีวิต Blue Zones แหล่งที่ผู้คนมีอายุเกิน 100 ปีมากที่สุดในโลก และถอดรหัสหลักการเหล่านั้นให้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่เราทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ได้จริงในชีวิตคนเมือง
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือใช้ชีวิตแบบไหน เคล็ดลับจาก Blue Zones ก็สามารถช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่มากขึ้นแน่นอน
เทรนด์สุขภาพอายุยืนในปัจจุบันเป็นอย่างไร?
“สำหรับเรื่องตอนนี้คนพูดถึงกันเยอะในเรื่องของ Longevity กับ Health span คือปัจจุบันเราไม่ได้พูดถึงแค่ตัวเลขของอายุเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นแล้ว แต่เรากำลังดูถึงคุณภาพชีวิตที่ยาวนานขึ้น คุณภาพชีวิตสะท้อนถึงอะไรบ้าง ก็คือหนึ่งคือระยะเวลาที่คนไข้มีสุขภาพที่ดี พร้อมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือว่าความพร้อมที่จะเหมือนมอบสิ่งดีให้กับสังคมได้ทั้งในเรื่องการทำงานและองค์ความรู้ต่างๆ มันยาวนานขึ้น และยังรวมไปถึงการจำกัดเหมือนกับงบประมาณในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเรื้อรัง ถ้าเราสามารถยืดระยะเวลาที่เค้าสุขภาพดีขึ้นได้ โดยที่ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยลงได้ มันจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในอนาคตอย่างแน่นอน ตอนนี้เราเลยกำลังพยายามพูดถึงการยืดระยะของHealth Span ทั้งนี้ทั้งนั้นการยืดระยะสิ่งเหล่านี้มันต้องอยู่ในเกณฑ์ความเหมาะสมหลายประการด้วยกัน หนึ่งคือมันต้องเข้าถึงได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สองคือมันควรจะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล และก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นในอนาคต ไม่ใช่ว่ารักษาโรคหนึ่งแล้วไปโผล่อีกโรคหนึ่ง และผมมองว่าสามคือก็ควรจะดีต่อสภาพสังคมโดยรวมและสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ใช่ว่าทำให้เราสวยงามอายุยืนอย่างเดียว แต่เป็นพิษเป็นภัยต่อระบอบของโลกนี้”

วิถีชีวิตแบบ Blue Zones คืออะไร?
“Blue Zones คือพื้นที่พิเศษบนโลกใบนี้ที่เป็นที่อยู่ของผู้สูงอายุที่มีอายุยืนยาวที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเซนเทเนเรียน ผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปีที่พบมากที่สุด ปัจจุบันมี Blue Zones ที่ได้รับการยืนยันอยู่ 5 แห่งทั่วโลก ได้แก่ โอกินาวาของญี่ปุ่น ซาร์ดิเนียของอิตาลี โลมา ลินดาของสหรัฐอเมริกา นิโคยาของคอสตาริกา และอิคาเรียของกรีซ
เราพบว่ามีพฤติกรรมของสุขภาพหลายอย่าง ที่ใน Blue Zone เขาได้ปฏิบัติกันมาอยู่ในระดับที่เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคอาหารที่อิงกับธรรมชาติ รับประทานแต่พอดี เน้นอาหารจากธรรมชาติ ผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนจากพืช การเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายอย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน หรือการมีส่วนร่วมในชุมชนและสังคม อันนี้คือจุดร่วมกันของ Blue Zone ทั้งหมด ซึ่งจะเห็นเลยว่า จะดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจเรา”
Blue Zones Blue Zones คือพื้นที่ 5 แห่งที่มีผู้สูงอายุเกิน 100 ปีมากที่สุด ได้แก่ โอกินาวา, ซาร์ดิเนีย, โลมา ลินดา, นิโคยา, และอิคาเรีย จุดร่วมคือการบริโภคอาหารอิงธรรมชาติ รับประทานแต่พอดี การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน และมีส่วนร่วมในชุมชน เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ส่งผลดีต่อกายและใจ
การกินแบบคน Blue Zones มีลักษณะอย่างไร?
“แก่นสำคัญของ Blue Zone ข้อแรกคือเรื่องของปริมาณ จะเห็นได้ว่าไม่มีลักษณะของวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่รับประทานอาหารแบบสะดวกสบาย หาซื้อได้ตลอดเวลา หรือรับประทานในปริมาณมากมายจนเกินอิ่ม อันนี้เป็นจุดร่วมกันของทุก Blue Zone
ข้อที่สองคือการอิงธรรมชาติ Blue Zone ทั้งหมดจะมีอาหารท้องถิ่นที่ไม่ต้องขนส่งมาไกล ไม่ต้องเติมสารต่างๆ เพื่อให้คงทนนาน การปรุงอาหารจะเน้นไปที่การปรุงแบบง่ายๆ ไม่ใช้ความร้อนสูง หรือการแปรรูปแบบ Ultra-processed
จุดร่วมอีกอย่างหนึ่งคือ Blue Zone ทั้งหมดมีอาหารที่หลากหลายสูง ไม่กินอะไรซ้ำๆ มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ธรรมชาติมาก ซึ่งส่วนใหญ่ปลูกเองครับ อย่างโอกินาวาจะปลูกเองแล้วแบ่งปันกันในสังคม รวมถึงการทำประมงท้องถิ่น ส่วนของอิตาลีจะเป็นพื้นที่เกาะที่บริโภคพืชผักอย่างสม่ำเสมอ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้เอง และมีความภูมิใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเองครับ”
คนเมืองจะปรับใช้ไลฟ์สไตล์แบบ Blue Zone ได้อย่างไร?
“คนเมืองก็เป็น Blue Zone ได้ครับ ด้วยความจำเป็นของสถานภาพทางสังคมของเรา ซึ่งแต่ละท่านก็จะมี condition ที่ต่างกัน สำหรับคนเมืองที่จะทำให้อิงกับหลักการ Blue Zone มากที่สุดคือบริโภคแต่พอดี เราไม่จำเป็นต้องกินจนเกินอิ่มด้วยใจอยากเสมอไป อยากกินแบบเกินคุ้ม บุฟเฟ่ต์อะไรต่างๆ ทำแต่พอดีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องกินให้คุ้มที่สุด
ในสังคมคนเมืองอาจต้องพึ่งพาอาหารแปรรูปบ้าง แต่ก็อยากฝากข้อคิดว่าควรอิงกับธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ คนเมืองก็น่าจะมีการประกอบอาหารง่ายๆ บ้าง แม้ครัวเล็กๆ ในคอนโดหรือห้องเล็กๆ อาจไม่ได้ครบเครื่องแบบครัวใหญ่ แต่อะไรที่ง่ายๆ ปรุงได้เองก็ควรทำเอง
เวลาซื้อของเข้าไปในร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ก็เดินไปแผนกของสดก่อน อยากให้มีนิสัยมีผักสดผลไม้สดติดตัว ถ้าใครมีลูกเล็กก็ให้เขาคุ้นเคยกับผักสดผลไม้สด ถ้าเป็นคนรับประทานเนื้อสัตว์ก็เลือกเนื้อสัตว์ไม่แปรรูปคุณภาพดี ซึ่งไม่จำเป็นต้องราคาแพงเลย โดยมากจะเน้นสิ่งที่ไม่มีไขมันสูง ไม่มีการแปรรูปจนแปลกไปจากหน้าตาที่เป็นอาหารจากธรรมชาติ และก็มีความหลากหลาย หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ครับ

ชาว Blue Zone ออกกำลังกายอย่างไร?
“โดยมากจะเห็นว่า Blue Zone ทั้งหมดมีกิจกรรมทางกายที่รวมอยู่ในวิถีชีวิต แทบทุกโซนจะเป็นการออกกำลังที่แฝงอยู่ในการทำงาน เช่น โอกินาวาจะมีการเดินและทำเกษตรทำสวนครัวเล็กๆ แม้พื้นที่ไม่ได้เยอะมากมาย แต่ก็ทำงานเองในวิถีชีวิตเยอะ งานบ้านงานต่างๆ เป็นรูทีนของเขา และเป็น Norm (บรรทัดฐาน) ของสังคมที่จะทำแบบนั้น
มีที่เดียวคือโลมา ลินดาของอเมริกาที่มีความพยายามแตกต่าง อาจด้วยวิถีชีวิตสไตล์อเมริกันที่เน้นความสะดวกสบายเยอะหน่อย แต่เขารู้จุดด้อยในจุดนี้ จะเห็นว่าที่นั่นเน้นการมีกิจกรรมฟิตเนสแบบการออกกำลังกายกลุ่ม มีการเต้นรำ ออกกำลังกายในน้ำ มีคลาสต่างๆ ที่สามารถเข้ามาจอยได้ของชุมชนนั้น
จะเห็นว่าถึงแม้วัฒนธรรมเราจะต่างกัน อาจไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในเขตที่ทำเกษตรหรือประมง แต่ก็อาจต้องมีอะไรบางอย่างเข้ามาเสริม เป็นข้อคิดสำหรับคนเมืองเหมือนกัน เราอาจไม่ได้มีพื้นที่เยอะไปปลูกผักทำไร่ แต่การที่เราไป join กิจกรรมกลุ่ม เช่น sport ร่วมกันหรือไปฟิตเนสร่วมกันก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่ มันก็น่าจะเป็นการส่งเสริมสุขภาพไปด้วยซ้ำครับ”
คนเมืองปรับใช้ไลฟ์สไตล์ Blue Zone ได้โดยบริโภคแต่พอดี ไม่กินบุฟเฟ่ต์ให้คุ้มเกินไป อิงธรรมชาติให้มากที่สุด ประกอบอาหารง่ายๆ เอง เดินไปแผนกของสดก่อน เลือกเนื้อสัตว์ไม่แปรรูป มีผักผลไม้สดติดบ้าน ที่มีความหลากหลาย
คนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งนานๆ ควรปรับตัวอย่างไร?
“สภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญครับ ผมมองว่างานออฟฟิศมันฝืนธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้นั่งโต๊ะจ้องคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว มันต้องมีเวลาเบรกเป็นช่วงๆ อย่างน้อยทุก 20 นาทีที่เปลี่ยนอิริยาบถ ถ้าเป็นไปได้ควรเป็นห้องที่มีหน้าต่าง ถ้าเห็นแสงจากธรรมชาติบ้างจะดี เพราะสมองของเราทำงานแปลตามการมองเห็นของแสงอาทิตย์ จะทำให้สดชื่นขึ้น และการนอนคุณภาพดีขึ้นด้วยครับ
ถ้าใครจำเป็นจริงๆ เช่น มันเป็นที่ปิดมากๆ อย่างน้อยเบรกพักเที่ยงหรือช่วงพักผ่อนระหว่างวัน ช่วงเบรกก็อย่าเอาแต่อยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ไปนั่งดูซีรีส์หรือดูโทรศัพท์นั่งแชต เราควรมีเวลาให้ตัวเองในการมองออกไปที่บรรยากาศข้างนอกบ้าง เช่น ต้นไม้ ออกไปทานข้าวข้างนอก เดินไปทานอาหารในร้านอาหารใกล้ที่ทำงาน หรือสมมติประชุมงาน ก็อาจต้องฝากไปที่ระดับหัวหน้างานด้วยว่าอาจมีสถานที่ที่เปิดรับกับสิ่งแวดล้อมบ้าง มีประชุมกันในโต๊ะที่สัมผัสแสงแดดบ้าง จะช่วยลูกน้องผู้คนได้เยอะเลยครับ
ส่วนนี้องค์กรช่วยได้ในการจัดบรรยากาศ มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า Nudge Theory คือการออกแบบไม่ใช่ดีแค่เฉพาะบุคคล แต่เราสามารถใช้การออกแบบทั้งสถานที่สิ่งแวดล้อมหรือการออกแบบเพื่อปรับพฤติกรรมคนได้ เช่น ออฟฟิศต้องคำนึงถึงการนั่งหรือการเดินหรือความปลอดภัย ยังต้องเอื้อต่อสุขภาพร่างกายของเราด้วย หรือส่งเสริมการเดิน เช่น ในโรงพยาบาลก็มีเหมือนกัน เช่น บันไดที่เดินได้สะดวกส่งเสริมให้บุคลากรเดินขึ้น หรือมุมที่เป็นมุมพักผ่อนที่ได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์ อันนี้เขาเรียกว่าการออกแบบที่นำไปสู่พฤติกรรมสุขภาพที่ดีครับ”

คนที่เหนื่อยจากการทำงานจนไม่มีแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ ควรทำอย่างไร?
“ไม่อยากให้คิดว่าการดูแลสุขภาพเป็นภาระ จริงๆ แล้วมันเป็นการให้รางวัลตัวเอง บางทีเราไปคิดถึงการให้รางวัลตัวเองคือกิจกรรมบันเทิง เช่น ให้รางวัลด้วยอาหาร ขนม หรือการดื่มแอลกอฮอล์ การปาร์ตี้สังสรรค์ เราสามารถปรับอย่างนี้ได้ มันอยู่ที่มายด์เซ็ตของเราว่า เราทำงานอย่างหนักแล้ว ก็น่าจะมีการให้รางวัลตัวเองด้วยสุขภาพที่ดี
การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดได้จริงครับ อันนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ การเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มที่เป็นเรื่องการออกกำลังกาย การจ็อกกิ้ง หรือการเข้าสู่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ หรือกีฬาบางชนิดที่ร่วมกันกับเพื่อนๆ มันได้ผลทั้งกายและใจ ได้ทั้งสภาพสังคม และได้ทั้งความยืนยาวของสุขภาพเราด้วยครับ อาจลองปรับมายด์เซตอันนี้ก่อน
อันที่สองคือต้องหาเป้าหมาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเป้าหมายไม่หนักแน่นพอ เราต้องมาตกตะกอนว่าจริงๆ แล้วการที่เรามีอายุที่ยืนยาวขึ้นหรือสุขภาพที่ดีขึ้น มันส่งผลดีต่อเราอย่างไร ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่เฉพาะบุคคลมากๆ และไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ต้องหาของตัวเองให้เจอ เช่น เราอาจอยากมีพลังที่อยู่กับลูกเรามากขึ้น หรืออาจอยากเป็นคนที่มี performance ในการทำงานที่ดีขึ้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ใช่อยู่ที่ความเฉียบคมของสมองเพียงอย่างเดียว และสมองจะดีได้ ร่างกายก็ต้องดีใช่ไหมครับ หรือบางท่านอาจเป็นลักษณะของเป้าหมายที่อยากไปท่องเที่ยวบางที่ที่ต้องเดินทางไกล ซึ่งถ้าเราไม่มีสุขภาพที่ดีคงไปไม่ถึง
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจเจกเลยครับ อย่าให้ใครมาบอกว่าอะไรคือเป้าหมายของคุณ เราต้องหาให้ได้และมันควรออกมาจากความจริงใจ เพราะมันต้องมีความรุนแรงพอที่จะกระตุ้นให้เราปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง และรู้สึกว่ามันคุ้มค่าในการทำครับ”
ชาว Blue Zone มีกิจกรรมทางกายในวิถีชีวิต เป็นการออกกำลังแฝงในงาน เช่น เดิน ทำเกษตร งานบ้าน มีเฉพาะที่โลมา ลินดา (อเมริกา) เน้นฟิตเนสแบบกลุ่ม คนเมืองก็สามารถ join กิจกรรมกลุ่มหรือฟิตเนสร่วมกันได้ หรือปรับพฤติกรรมด้วยการพักเบรกทุก 20 นาที เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
อาหารช่วยลดความเครียดได้ไหม?
“จริงๆ มันกลับด้านกันครับ ความคิดที่ว่าอาหารลดเครียดมันไปเกิดจากเงื่อนไขที่เราไปผูกอะไรบางอย่างเอาไว้ เราไปยึดทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วฮอร์โมนความเครียดคือคอร์ติซอล มันทำให้เราโหยน้ำตาล และอาจไปกระตุ้นฮอร์โมนบางอย่างที่ทำให้ระดับน้ำตาลของเราแกว่ง การเครียดเรื้อรังอาจมีผลไปถึงฮอร์โมนที่ทำให้การควบคุมความดันเราแย่ลง ก็อาจโหยเค็มมากขึ้น
ประกอบกับเรามักผูกการกินกับความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น อาหารแบบนี้ทำให้เรามีความสุข หรือเป็นอาหารสำหรับการปาร์ตี้ หรือไปไกลกว่านั้น มันอาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดสารเสพติดในสมอง เช่น แอลกอฮอล์ อย่างนี้จะแย่ที่สุดเลย เห็นว่าทุกอย่างล้วนเกิดมาจากต้นตอที่เราไปผูกกับสัญชาตญาณบางอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันปรับได้
เวลาเราจะแก้ปัญหาการกินจากความเครียด เราต้องเข้าใจก่อนว่าจริงๆ แล้วเราต้องการสิ่งนั้นจริงๆ หรือเปล่า เรากินเพราะเราหิวตามธรรมชาติหรือเรากินเพื่อคลายอารมณ์ ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้น อันที่สองคือบางอย่างที่เป็นประสบการณ์ที่เราสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเอง เช่น ทำงานเสร็จแล้วฉลองตัวเองด้วยไอศกรีมทุกครั้ง หรือระหว่างประชุมต้องมีอาหารเบรกทุกครั้ง บางอย่างมันเป็นวัฒนธรรมองค์กร เราอาจหักจากมันได้ครับ มันไม่จำเป็นต้องยึดไว้ตลอด”

การดื่มแอลกอฮอล์หลังออกกำลังกายดีหรือไม่?
“อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะปัจจุบันการดื่มแอลกอฮอล์มันไม่มีลิมิตของโดสที่เป็นเฮลตี้แล้วครับ เราต้องยึดตามนโยบายขององค์การอนามัยโลก WHO ที่ประกาศมาแล้วว่าโดสดีที่สุดของแอลกอฮอล์คือศูนย์ ยิ่งน้อยที่สุดยิ่งดีครับ การฉลองให้กับตัวเอง การวิ่งเป็นพฤติกรรมที่ดี ถ้าทำได้ต่อเนื่องจะสร้างคุณประโยชน์มหาศาล เราอาจลองเปลี่ยนให้การให้รางวัลแก่ตัวเองเป็นอะไรที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีน่าจะดีกว่า หมอยังยืนยันว่าเครื่องดื่มที่ร่างกายต้องการที่สุดคือน้ำเปล่า เราไม่ได้ต้องการอย่างอื่นเลย
เหตุผลที่ WHO ออกมาประกาศเรื่องนี้ เพราะในอดีตเคยมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์เรื่องการดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด เช่น ไวน์ว่ามีผลดีต่อระบบหัวใจ แต่เมื่อนำมาดูในเชิงองค์รวมแล้ว เราพบว่าแอลกอฮอล์ไม่ว่าชนิดไหนมันเพิ่มอัตราของมะเร็งในช่องปาก มะเร็งตับ และมะเร็งของสตรีหลายอย่าง พอมาชั่งน้ำหนักระหว่างการดูแลหัวใจกับความเสี่ยงมะเร็ง ความเสี่ยงมะเร็งชนะ
วิจัยล่าสุดปี 2024 จาก WHO ประกาศออกมาว่าสรุปแล้วมันไม่ได้ส่งให้อายุยืนขึ้น ถ้าดื่มก็ต้องมีลิมิต น้อยที่สุดที่ทำได้ ชายไม่เกิน 2 ดื่ม ผู้หญิงไม่เกิน 1 ดื่ม หนึ่งดื่มเท่ากับไวน์หนึ่งแก้ว เบียร์หนึ่งขวดเล็ก หรือสุราแก้วเล็กครับ”
การนอนมีความเกี่ยวข้องกับอายุยืนยาวหรือไม่?
“เกี่ยวครับ แน่นอนเลย การนอนที่น้อยมีผลต่ออายุที่สั้นลงจริง และการนอนน้อยเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับร่างกายโดยไม่จำเป็น ฮอร์โมนความเครียดจะไหลออกมามากขึ้น และจะมีผลต่อการควบคุมความดัน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การอักเสบในร่างกาย
จะเห็นได้ว่าคนจะมีทั้งปัญหาเรื่องของการทำงานของสมอง ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นเร็วขึ้น โรคหัวใจที่มากขึ้น ความดันมากขึ้น เบาหวานมากขึ้น ยังไปถึงการอักเสบต่างๆ ด้วย แม้แต่โรคผิวหนังบางอย่างก็กำเริบจากความเครียดและการนอนที่ไม่เพียงพอเหมือนกันครับ”
ปัจจัยด้านพันธุกรรมมีผลต่ออายุยืนยาวหรือไม่?
“มีผลครับ ต้องบอกเลยว่าพันธุกรรมมีผล แต่ไม่ใช่พันธุกรรมข้อใดข้อหนึ่ง การที่เราพยายามตรวจหาคำตอบว่าทำไมครอบครัวหนึ่งถึงมีอายุยืนยาวกว่าอีกครอบครัวหนึ่ง มันเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงของโรคบางอย่าง หรือภาวะของการอักเสบ หรือภาวะของความเสื่อมถอยของร่างกายบางระบบ ต้องยอมรับว่าบางพันธุกรรมมีประโยชน์ มันไม่ใช่แค่มีความเสี่ยงโรคน้อย แต่มีความเอื้อในการต้านทานโรคบางอย่างด้วย
แต่เหนือพันธุกรรมเขาเรียกว่า Epigenetics คือการที่ทำให้พันธุกรรมเหล่านั้นทำงานได้หรือไม่ได้ มันมีเรื่องของการที่จะทำให้ยีนบางตัวเปิดหรือปิดการทำงาน มันเกี่ยวกับอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้วยครับ
ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เห็นตัวเลข เทียบยากครับ เพราะแต่ละตัวมันจะมีเอฟเฟกต์ต่างกันไป การที่เราจะพูดว่าคนๆ หนึ่งมีอายุของเขาเรียก Biological Age หรืออายุของร่างกายเท่าไหร่ มันจำเป็นต้องใช้ข้อมูลในระดับ AI มาช่วยคำนวณ เพราะเราต้องดูข้อมูลความเสื่อมของร่างกายแต่ละระบบให้ครบ แถมยังต้องให้น้ำหนักด้วยว่าข้อมูลนั้นมีผลต่ออายุมากน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นแต่ละคนจะมีปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุต่างกัน เวลาปรับพฤติกรรมบางอย่างมันเลยเพิ่มอายุได้ต่างกันในแต่ละคนครับ”
อย่าคิดว่าการดูแลสุขภาพเป็นภาระ แต่เป็นการให้รางวัลตัวเอง เปลี่ยนจากให้รางวัลด้วยอาหารเป็นสุขภาพ การออกกำลังกายลดความเครียดได้จริง ต้องหาเป้าหมายส่วนตัวที่หนักแน่น เช่น อยากมีพลังอยู่กับลูก หรืออยากไปท่องเที่ยวแบบแข็งแรง
อิคิไก (Ikigai) หรือความหมายของการมีชีวิตอยู่สำหรับหมอโอ๊คคืออะไร?
“สำหรับผมเองครับ ผมเป็นคนที่ชอบทำงานกับมนุษย์ มีความสุขทุกครั้งที่ได้ตรวจคนไข้ และได้เห็นคนไข้ที่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือมีความสุขกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น มีความสุขในการที่ได้เจอคนที่รัก ทั้งครอบครัวและสังคม
ผมมีความสุขกับการส่งต่อ ตอนนี้อยู่ในสเตจที่ชอบสอนแบ่งปัน ทั้งกับคุณหมอรุ่นเด็กกว่า รุ่นศิษย์ หรือการให้สัมภาษณ์ต่างๆ เพราะเราสามารถส่งต่อผ่านสื่อได้ให้กับคนจำนวนมาก อันนี้ถือว่าเป็นมิชชั่นของชีวิตที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า และคงทำตลอดชีวิต
การมีลูกเป็นส่วนหนึ่งที่ตอบโจทย์ของอิคิไกอย่างมาก เพราะเรารู้สึกว่าเรามีคนตัวเล็กๆ ที่เราดูแลเขามาตั้งแต่ต้น มีความสุขที่ได้เจอเขาเติบโตขึ้นทุกวัน และได้สอนเขาให้เป็นคนดีในแบบที่เขาเป็น มีความสุขมากเหมือนกันครับ
จะเห็นว่าอิคิไกของหมอโอ๊คประกอบด้วย การดูแลรักษาผู้คน การแบ่งปันความรู้ และการเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่หลงใหล สิ่งที่เก่ง และสิ่งที่โลกต้องการได้อย่างลงตัวครับ”
การลงทุนด้านสุขภาพในปัจจุบันเรามักคิดถึงนวัตกรรมราคาสูง แต่สิ่งที่ Powerful คือพฤติกรรมของเราเอง เช่น การควบคุมอาหาร และน้ำหนัก ช่วยลดโรคได้มาก อย่าด้อยค่าพฤติกรรมที่ดี มันเป็นหนทางแห่งความยั่งยืนและสุขภาพดี
มุมมองของหมอโอ๊คเกี่ยวกับคำว่า “The greatest wealth is health”
“เป็นสิ่งที่จริงครับ เพราะด้วยการที่เราอยู่ในวงการการแพทย์ เราเห็นชัดเลยว่าเมื่อไหร่ที่ประชากรสุขภาพไม่ดี มันต้องสูญเสียเงินและงบประมาณมหาศาลในการดูแลคนคนหนึ่ง โดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง
ยาของโรคกลุ่มนี้ต้องใช้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลานาน ยังต้องมีการดูแลโดยเฉพาะคนไข้ที่ป่วยเรื้อรังถึงขั้นไม่สามารถดูแลตัวเองได้ มันต้องการทั้งกำลังคน ทั้งกำลังทรัพย์ และสุขภาพจิตของคนรอบข้างอีกด้วย มันเกี่ยวโยงกับสถานภาพทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงครับ
การมองภาพนี้มองได้ตั้งแต่ระดับปัจเจก เราสุขภาพดีแล้วทำให้เรามีพละกำลังในการทำงานสร้างเพอร์ฟอร์แมนซ์ได้ในคนวัยทำงาน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยตัวเราเอง ระดับองค์กรก็ทำให้ทั้งองค์กรมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ระดับโลกก็จะทำให้ประชาชนมีความสุขขึ้นด้วยสุขภาพที่ดี และไม่ใช้งบประมาณไปกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ เช่น ความเจ็บป่วยที่เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่จำเป็น เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุ หรือสารเสพติดต่างๆ ครับ”
การลงทุนด้านสุขภาพควรเริ่มต้นอย่างไร?
“อันนี้เป็นสิ่งที่น่าขบคิดมากครับ เพราะปัจจุบันเรามักเกี่ยวโยงการลงทุนเรื่องสุขภาพกับนวัตกรรมระดับสูง ซึ่งบ่อยครั้งนวัตกรรมเหล่านี้มีราคาค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เช่น การตรวจ Lab พิเศษต่างๆ การใช้ยาใหม่ๆ หรือการใช้อาหารเสริมที่ราคาสูงมาก เนื่องจากต้นทุนสูง
แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ Powerful ครับ สิ่งที่มีพลังมหาศาลในการสร้างความเปลี่ยนแปลงคือพฤติกรรมเราเองนี่แหละ มีการวิจัยเยอะมากเลยว่าสมมติเรารับประทานอาหารถูกต้อง การควบคุมระดับน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ธรรมชาติ ไม่สามารถลดทอนโรคหลายอย่างได้ การที่เราเป็นโรคอ้วนจะเพิ่มมะเร็งถึง 13 ชนิด แต่ถ้าเราน้ำหนักปกติมันตัดโรคเหล่านี้ไปได้
การที่เรารับประทานอาหารบางประเภทผลมันอาจสามารถทำให้เราควบคุมได้เทียบเคียงกับการรับประทานยาลดไขมันเลยด้วยซ้ำไป หรือแม้แต่คนไข้ที่เคยเป็นโรคหัวใจแล้วถึงขั้นผ่าตัดใส่สเต็นท์ เราพบว่าการที่เราควบคุมด้วยอาหาร มันทำให้โรคไม่กลับมาเป็นใหม่ ประหยัดได้มากมายมหาศาลครับ อย่าด้อยค่าพฤติกรรมที่ดี อาจเหนื่อยหน่อย แต่มันเป็นหนทางแห่งความยั่งยืนของโลกนี้ครับ”
UOB Privilege Banking
เราใส่ใจทุกเรื่องที่สำคัญสำหรับคุณ



