วันนี้ (11 ตุลาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยรัฐมนตรี พล.อ. สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี ประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับผู้ว่าราชการ 7 จังหวัด และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่
อนุทินกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนและคณะ มาตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความห่วงใยต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะสถานการณ์ยังมีความอ่อนไหวและมีความท้าทาย จึงขอให้แม่ทัพภาค 4 นำความผาสุกมาสู่สังคมและประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะที่ผ่านมา
ต้องขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง โดยยังคงนโยบายต่อไปเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่า จะแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้และพื้นที่อื่นๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นเอกภาพและประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ
จากนั้น อนุทินให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า ได้รับฟังสถานการณ์หน่วยงานหลักที่ประจำอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้ความมั่นใจว่าให้ทุกฝ่ายบูรณาการการทำงานด้วยกันอย่างเต็มที่ ในส่วนของตนซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการกํากับดูแลกระทรวงมหาดไทย ขอให้การทำงานกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันในสมัยก่อนหน้านี้ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายให้เด็ดขาด ยกระดับด้านการข่าว เน้นความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งสําคัญที่สุด
ชี้ภูมิประเทศอํานวยอำนวยให้ผู้ก่อเหตุหลบหนีข้ามแดน
ส่วนการติดตามคนร้ายจากเหตุการณ์ปล้นทองที่เกิดขึ้นนั้น อนุทินระบุว่า กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 9 ทําหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มักจะเกิดเหตุบ่อยครั้งและสภาพภูมิประเทศอํานวยให้ผู้ที่ก่อเหตุ สามารถหลบข้ามแดนได้ในระยะเวลาอันสั้น เราจึงต้องมีการตั้งจุดตรวจและการลาดตระเวน ปิดกั้นช่องทางออกทางธรรมชาติให้มากที่สุด
ส่วนกระบวนการพูดคุยสันติภาพ อนุทินระบุว่า พล.อ. สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยทํางานร่วมกันมาแล้ว 2-3 รัฐบาลก่อน ตั้งแต่เป็น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ และเชื่อว่าสถานการณ์มีความคืบหน้าแน่นอน
ทั้งนี้ ในการลงพื้นที่ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาร่วมประชุม เนื่องจากเกี่ยวพันกับการสานสัมพันธ์กับทางมาเลเซีย เพราะเป็นประเทศที่ร่วมมือกับไทยมาโดยตลอด รวมถึงปัญหากับทางกัมพูชา ทางมาเลเซียก็พยายามทําให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว ซึ่งในวันที่ 12 ตุลาคม สีหศักดิ์ก็จะเดินทางไปมาเลเซียเพื่อพบกับทีมของกัมพูชาในระดับรัฐมนตรี
อนุทินกล่าวอีกว่า อะไรที่นำไปสู่การเจรจาลดความรุนแรง นำไปสู่สันติภาพเราให้ความร่วมมือ จุดยืนของเราไม่มีเปลี่ยนแปลง เราไม่พูดคุยไม่ได้ แต่จุดยืน 4 ข้อ ต้องได้รับการตอบสนอง ก่อนการบรรลุข้อตกลงใดๆ
ห่วงความปลอดภัยประชาชน
ส่วนแผนระยะยาวที่จะทํารั้วตลอดแนวชายแดน อนุทินกล่าวว่า ทางกองทัพยืนยันว่าจะดําเนินการทุกอย่างในการรักษาอธิปไตย ไม่มีใครอยากให้ไปถึงจุดนั้นที่มีการล่วงละเมิดกฎหมายและเป็นอันตรายต่ออธิปไตยของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพี่น้องประชาชน ซึ่งเราพร้อมดําเนินการไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น
ส่วนความเป็นห่วงสถานการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อนุทินระบุว่า “ผมห่วงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก แต่ผมไม่ห่วงเรื่องความสามารถของกองทัพไทย ผมไม่ห่วงเรื่องความสามารถในการดําเนิน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของกระทรวงต่างประเทศ ผมไม่ห่วงเรื่องความตั้งใจของผมที่จะสนับสนุนในทุกภารกิจที่จะทําให้ผลลัพธ์บรรลุผลสําเร็จเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย”
คณะพูดคุยสันติสุขฯ คล้ายเดิม ย้ำต้องบทบาทฝ่ายไทย
ด้าน พล.อ. สมศักดิ์กล่าวถึงความคืบหน้าในการตั้งคณะพูดคุยสันติสุขฯ ว่า ตอนนี้รอคําสั่งอยู่ แต่จะคล้ายองค์ประกอบเดิมที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วมด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้ขอให้ทําในภาพรวม ซึ่งการพูดคุยเป็นส่วนหนึ่ง แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า, ตำรวจ, กระบวนการยุติธรรม และศอ.บต. ที่ตนต้องเข้าไปช่วยบูรณาการสิ่งเหล่านี้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เกื้อกูลให้เกิดการพูดคุย
พล.อ. สมศักดิ์กล่าวอีกว่า ตนจะดูส่วนระหว่างประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า จะเป็นผู้ดูแลภายในประเทศ ซึ่งอาจจะมีรอยต่อที่ทางกองทัพจะต้องเข้ามาช่วยดูแล
จ่อเพิ่มบทบาทไทย หลังคล้อยตามมาเลเซียมากเกิน พร้อมคุยทุกกลุ่มไม่ใช่แค่ BRN
พล.อ. สมศักดิ์กล่าวอีกว่า เรามีระยะเวลาไม่มากจึงอาจต้องใช้มาเลเซียเป็นผู้อํานวยความสะดวกไปก่อน เพราะไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร และอยากให้เขาเห็นถึงความจําเป็นในการกําหนดบทบาทของฝั่งไทยให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราอาจคล้อยตามมาเลเซียมากไปจึงต้องมีความเข้มข้นในส่วนของฝั่งไทย หรืออาจจะต้องใช้ผู้อํานวยความสะดวกเพิ่มเติมก็จะต้องมีการพูดคุย ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะใช้เวลาในการพูดคุยเท่าใด แต่จะพยายามพูดคุยทุกกลุ่มไม่ใช่เฉพาะแค่กลุ่ม BRN กลุ่มเดียว ซึ่งหากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมตนจะแจ้งให้ทราบ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร