44.41 เปอร์เซ็นต์คือความเป็นไปได้ที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งสำนัก The Analyst (aka Opta) คำนวณโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ของอาร์เซนอล
ประเด็นสำคัญ
โดยการคำนวณล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจบ Matchweek 7 ที่เกิดความพลิกผันขึ้นเมื่อลิเวอร์พูลแชมป์เก่าพลาดท่าพ่ายเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน (และเกมที่ 3 เมื่อรวมทุกรายการ) จนทำให้จากที่เคยนำ 5 แต้มตอนนี้กลับกลายเป็นโดนทีมของมิเคล อาร์เตตา แซงหน้าไปแล้ว 1 แต้มด้วยกัน
จริงอยู่ที่มันเป็นแค่ ‘แต้มเดียว’ แต่เป็นแต้มใหญ่ที่มาพร้อมกับความมั่นใจใส่เต็มกระเป๋าไม่น้อย
เพราะหากมองลึกลงไปในรายละเอียด เราจะพบว่ามีเหตุผลดีๆ ที่ชวนให้เชื่อว่าปีนี้แหละคือปีที่อาร์เซนอลเข้าใกล้คำว่าแชมป์มากที่สุดแล้ว
Squad depth ระดับสุดยอด
หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ทำให้อาร์เซนอลสะดุดต่อเนื่องในฤดูกาลที่แล้วจนทำให้จบด้วยการเป็นรองแชมป์แบบทำใจคือเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นระดับคีย์แมนที่ผลัดกันหายหน้าหายตาไปจากทีม ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน โอเดอการ์ด, บูกาโย ซากา, กาเบรียล เชซุส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, เบน ไวต์ และไค ฮาเวิร์ตซ์
แต่ในฤดูกาลนี้อาร์เซนอล ภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายบริหารและความทุ่มเทของผู้อำนวยการเทคนิคคนใหม่ อันเดรีย แบร์ตา ได้เสริมทัพเข้าทีมแบบเน้นคุณภาพและปริมาณอย่างเต็มที่
วิคเตอร์ ยอเคอเรส, มาร์ติน ซูบิเมนดี, โนนี มาดูเอเก, เอเรเบชี เอเซ, คริสเตียน มอสเกวรา นักเตะเหล่านี้เป็นสตาร์ที่มีประสบการณ์พร้อมใช้งานได้ทันที
ดังนั้นแม้ทีมจะมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนต่อเนื่องในฤดูกาลนี้ ตั้งแต่มาดูเอเก (ที่ฟอร์มกำลังดี), ซากา (ออดๆ แอดๆ), ซาลิบา, โอเดอการ์ด (ล่าสุดเจ็บเอ็นหัวเข่า) แต่ทีมยังเหลือตัวผู้เล่นในระดับที่ดีพอจะทดแทนได้อย่างสบายๆ ระดับที่ดาวรุ่งที่เคยโลดแล่นอย่าง อีธาน วาเนรี, ไมล์-ลูอิส สเคลลี หรือแม็กซ์ ดาวแมน เพชรเม็ดงามในช่วงพรีซีซันยังต้องรอโอกาสในการลงสนาม
ขุมกำลังระดับนี้ทรุดยาก
เจ็บมาเยอะ
3 ฤดูกาลที่ผ่านมาอาร์เซนอล ตกอยู่ในสภาพ ‘ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง’ อยู่ร่ำไปด้วยการเป็นรองแชมป์ทุกปี
เพียงแต่หากเก็บความเจ็บปวดมาเป็นบทเรียน แต่ละครั้งที่ผิดหวังก็สอนอะไรที่แตกต่างกันออกไปสำหรับทีมของอาร์เตตา ไม่ว่าจะเป็น
ความอ่อนประสบการณ์ (ฤดูกาล 2022/23)
ความลังเล (ฤดูกาล 2023/24)
ความซวยและการตัดสินใจผิดพลาด (ฤดูกาล 2024/25)
ถึงอย่างนั้นดูเหมือนอาร์เตตาและลูกทีมต่างได้รับบทเรียนมามากพอแล้ว และทำให้ในฤดูกาลนี้พวกเขาเริ่มแสดงให้เห็นว่าเป็นทีมที่โต (Mature) ขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะบรรดาเสาหลักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เดแคลน ไรซ์, ซากา, กาเบรียล มาร์กัลเญส หรือดาวิด รายา ที่ยืนหยัดแสดงให้คนในทีมได้เห็นว่าไม่คิดที่จะยอมแพ้และผิดหวังอีกแล้ว
เป็นความรู้สึกคล้ายกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2019/20 ที่เคยผิดหวังในฤดูกาลก่อนหน้า ก่อนจะกลับมาเร่งฟอร์มจนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น
คู่แข่งแรงตก
ไม่ต่างจากลิเวอร์พูลในฤดูกาลที่แล้ว อาร์เซนอลที่ข้น แน่น ปึ๊ก ทุกขุมกำลังก็เหมือนอาจจะได้เปรียบอะไรบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ จากสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจนักของคู่แข่ง
โดยเฉพาะ “หงส์แดง” ในฤดูกาลนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงทีมค่อนข้างมากและทำให้เริ่มเผยจุดอ่อนให้เห็นตั้งแต่แนวรุกจนถึงแนวรับที่อาร์เนอ สลอตอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับจูนแก้ไขกันอีกพอสมควร
ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี อยู่ในระหว่างการสร้างทีมใหม่ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่แม้จะเริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นแล้วโดยเฉพาะเอร์ลิง ฮาแลนด์ ที่กลับมาเข้าฝักเป็น ‘จอมมาร’ อีกครั้ง แต่ทีมยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ไม่นอนอยู่ดี
มองแค่ 2 ทีมนี้กับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ อาร์เซนอลมีโอกาสและความได้เปรียบมากกว่าหลายฤดูกาลที่ผ่านมามาก
การปลดปล่อยของอาร์เตตา
หนึ่งจุดที่มิเคล อาร์เตตาถูกวิพากษ์หนักมากในช่วงที่ผ่านมาคือการพยายามทำให้ทีมเล่นแบบปลอดภัยและเน้นผลการแข่งขันมากเกินไป (ตั้งแต่ในฤดูกาลที่แล้วที่เสมอกับแมนฯ ซิตี ทั้งๆ ที่ศักยภาพดีพอจะชนะได้)
โดยเฉพาะเกมในบ้านกับแมนเชสเตอร์ ซิตี ทีมระดับท็อปด้วยกันแต่กลับจัดทีมแบบเน้นความ ‘สมดุล’ เป็นหลัก จนสุดท้ายต้องมาเร่งเกมเพื่อไล่ตามตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
แต่หลังจากนั้นดูเหมือนอาร์เตตาจะกลับมาทบทวนและลองให้ทีมเล่นแบบเปิดใจมากขึ้น ตั้งแต่เกมที่พบกับนิวคาสเซิลเป็นต้นมา โดยให้เอเซ ลงสนามเป็นตัวจริงในบทตัวทำเกมแดนกลาง
แม้จะเจอกับความยากลำบากในการเจาะเกมรับของทีมสาลิกาดงที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแถมทำประตูขึ้นนำไปก่อน แต่สุดท้ายกันเนอร์สกลับมาแซงเอาชนะได้ 2-1
เช่นกันในเกมล่าสุดกับเวสต์แฮม ที่คราวนี้ส่งทั้งโอเดอการ์ด และเอเซ ลงปั้นเกมพร้อมกันไปเลย แม้กัปตันจะโชคร้ายบาดเจ็บซ้ำอีกครั้งแต่ก็มีตัวแทนอย่างซูบิเมนดีที่ลงมามีส่วนกับ 2 ประตูที่ได้ในเกมนี้
ที่สำคัญคือความลื่นไหลในเกมเริ่มดีขึ้น ทีมกลับมาเล่นคล้ายกับช่วงที่เคยเล่นสนุกมีอิสระอีกครั้ง
การปลดล็อกทางใจครั้งนี้เชื่อเถอะว่าสำคัญ เพราะถ้าอยากจะได้อะไรสักอย่างแล้ว มันต้องทุ่มสุดตัวถึงจะได้!
ซูบิเมนดี
ถึงจะต้องรอนานหนึ่งปี แต่การได้ตัวซูบิเมนดี มาร่วมทีมในที่สุดสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ทีมอาร์เซนอลอย่างช้าๆ
กองกลางสายเลือดบาสก์ไม่ได้เป็นนักเตะที่มีลีลาการเล่นหวือหวา แต่เป็นนักฟุตบอลในแบบพิเศษที่เล่นฟุตบอลเหมือนมีรีโมตคอนโทรลเกมอยู่กับตัว ทำให้ควบคุมจังหวะการเล่นของเกมได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ดีมากกว่านั้นคือซูบิเมนดี แทบไม่ต้องปรับตัวกับทีมมากนัก แค่ไม่กี่นัดก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเอาตัวรอดในเกมพรีเมียร์ลีกได้อย่างสบายๆ ด้วยมันสมอง การอ่านเกม และทักษะการเล่น โดยเฉพาะการสร้างเกมรุกที่ทำได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้มาก ทั้งจังหวะการสอดขึ้นไปหาโอกาสยิงประตู หรือการผ่านบอลให้เพื่อนทำประตู
การมีซูบิเมนดีอยู่ในแดนกลางร่วมกับเดแคลน ไรซ์ ทำให้แดนกลางของกันเนอร์สแน่นและหลากหลายกว่าเดิมมาก และทีมที่จะประสบความสำเร็จมันต้องเกิดจากแดนกลางแบบนี้แหละ
แบ็กโฟร์
เกมรุกจะทำให้ทีมชนะ เกมรับจะทำให้ทีมเป็นแชมป์ คำนี้การันตีเสมอว่าเชื่อได้
ในฤดูกาลนี้เกมรับของอาร์เซนอลไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม แต่เหมือนจะแกร่งกว่าเดิมด้วย นักเตะอย่างกาเบรียล มาร์กัลเญส ตอนนี้พัฒนาตัวเองขึ้นมามากทั้งในการเล่นและบทบาทความเป็นผู้นำ ขณะที่ซาลิบายังรักษามาตรฐานการเล่นได้ดี โดยที่ยังมีน้องใหม่อย่างมอสเกวราที่ทำให้หลายคนอุ่นใจว่าถ้าจะพักตัว หรือมีใครเจ็บกองหลังจะไม่ยวบแบบเดิมอีกแน่นอน
ไม่ใช่แค่นี้ ริคคาร์โด คาลาฟิออรี และทิมเบอร์ ค้นพบสไตล์และจังหวะการเล่นที่ชอบ เติมเกมกันสนุกดุดันอย่างมาก ทั้งเร็วและอันตรายแม้จะไม่ใช่ฟูลแบ็กแท้ๆ ก็ตาม
ไลน์แบ็กโฟร์ของอาร์เซนอลในปีนี้เรียกว่าน้องๆ แบ็กโฟร์ชุดตำนานในยุค 80-90 เลยทีเดียว
Corner & Long Throw
สุดท้ายถึงใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังอยู่ในกติกา ลูกเตะมุมและลูกตั้งเตะของอาร์เซนอลเป็นอาวุธอันตรายที่ทำลายคู่ต่อสู้ได้เสมอ
ในวันที่คิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก การได้เตะมุมก็เหมือนได้ลูกจุดโทษครึ่งหนึ่งสำหรับพวกเขา เพราะการเตะมุมที่ผ่านการออกแบบและซักซ้อมมาเป็นอย่างดีโดยนิโคลัส โจเวอร์ Specialist มือหนึ่งของวงการในตอนนี้
โดยที่อย่าคิดว่าง่าย หัวใจมันอยู่ที่ว่าใครเตะมุมด้วย ซึ่งกว่าที่ไรซ์, ซากา หรือโอเดอการ์ด จะเตะได้ขนาดนี้ให้กลับไปคิดดูว่าต้องซ้อมเตะมากี่ร้อยกี่พันลูก
แต่ปีนี้ไม่ได้มีแค่อย่างเดียว เทรนด์การทุ่มไกลกำลังกลับมาซึ่งอาร์เซนอลก็ไม่ตกกระแส สังเกตเวลาได้ทุ่มในระยะ 20 หลาจะมีการลองทุ่มบอมบ์เข้ามา โดยเฉพาะทางฝั่งของคาลาฟิออรี ที่แรงดี ตรงนี้น่าสนใจมากว่าจะเป็นทีเด็ดใหม่ได้อีกอย่างเลย
แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่เหตุผลในวันนี้เท่านั้น ฤดูกาลยังอีกยาวไกล อาร์เซนอลในฐานะจ่าฝูงต้องเจอกับอะไรอีกมาก ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ
เพียงแต่อย่างน้อยตอนนี้ก็นำแล้ว และรู้นะว่า Gooners หลายคนน่าจะแอบคิดอยู่ในใจ
“ม้วนเดียวจบไหวไหมนะ”