ดร.เอกนิติ รองนายกฯ และรมว. คลัง เปิดฉากทัศน์ ‘โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ’ ชี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เร่งดัน ‘Quick Big Win’ ช่วยไทยพ้น ‘ติดหล่ม ตกเหว’ ภายใน 4 เดือน
วันนี้ (8 ตุลาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดฉากทัศน์ นำเสนอทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ท่ามกลางแนวโน้มของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง พร้อมประกาศโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งขับเคลื่อนภายใน 4 เดือน ผ่านยุทธศาสตร์ ‘Quick Big Win’ เพื่อป้องกันเศรษฐกิจไทย ‘ติดหล่ม ตกเหว’
โลกเปลี่ยนใหญ่ 4 ด้าน
ดร.เอกนิติ ระบุว่า โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน 4 ด้านสำคัญ ซึ่งจะส่งแรงสั่นสะเทือนโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย ดังนี้
1. การค้าเสรีสู่การค้าแบบเลือกข้าง (Selective Trade)
ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีในยุคของการค้าเสรีผ่าน FTA และ AFTA จนสามารถสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด
อย่างไรก็ตาม โลกปัจจุบันกำลังเปลี่ยนสู่ การแยกตัวของห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ที่แต่ละประเทศต้องตรวจสอบที่มาของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อย่างเข้มงวด
ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ อาจเก็บภาษี transshipment สูงถึง 40-50% แทนที่จะเสียภาษีปกติแค่ 19% หากพบว่าสินค้าถูกสวมถิ่นกำเนิด ซึ่งกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยตรง
2. จากยุค Baby Boom สู่ยุค คนแก่เต็มเมือง
ดร.เอกนิติระบุว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยไทยมีประชากรสูงวัย ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มากถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ขณะที่ค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 15%
นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศที่ ‘แก่ก่อนรวย’ ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ที่รวยก่อนแก่ ซึ่งมีกำลังซื้อและไม่เป็นภาระ
อย่างไรก็ตาม หากไทยสามารถดึงดูดประชากรสูงวัยกำลังซื้อสูง ผ่านบริการ อุตสาหกรรมการแพทย์ในไทยได้ ก็จะเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ เตือนว่า หากไม่เร่ง Reskill และ Upskill ให้แรงงานไทย และผู้สูงอายุ ไทยอาจเสี่ยงขาดแคลนแรงงาน ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในอนาคต
3. โลกเข้าสู่ยุค AI แรงงานไทยตามทันหรือยัง
ดร.เอกนิติ ระบุว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 3 ปี หลังการเปิดตัว ChatGPT เป็นครั้งแรก ซึ่งปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงผลิตชิ้นงานเชิงสร้างสรรค์
แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่เอกนิติตั้งคำถามว่า แรงงานไทยมีความพร้อมมากเพียงไร หากต้องอาศัยอยู่ในโลกที่ AI เข้ามาเป็นคู่แข่ง
4. กติกาสีเขียว โอกาสร่วมวงอุตสาหกรรมสะอาด
ทั้งนี้ โลกกำลังมุ่งหน้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวมากขึ้น โดยสหภาพยุโรปเตรียมบังคับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ครอบคลุมสินค้า 5 ชนิด ได้แก่ ปุ๋ย ซีเมนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม และไฟฟ้า ซึ่งจะกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องรายงานการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดในห่วงโซ่การผลิต
โลกจะมีกติกาสีเขียวมากขึ้น ซึ่งดร.เอกนิติ ระบุว่า อาจเป็น ‘โอกาสทองของไทย’ หากสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดได้ทันเวลา
หัวเลี้ยวหัวต่อ ไทยจะไปทางไหน?
ท่ามกลางโลกที่กำลังเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่าน ดร.เอกนิติ ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ใน ‘ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ’ ซึ่ง ดร.เอกนิติมองว่า ไทยอาจเลยจุดนั้นมาแล้วเล็กน้อย เนื่องจาก GDP ไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำลงต่อเนื่อง
โดยในช่วงก่อนปี 2540 ไทยเคยมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยที่ปีละ 7% ก่อนจะลดลงเหลือเพียง 3% หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จนกระทั่งต่ำกว่า 2% ในช่วงปี 2560 – ปัจจุบัน
ทั้งนี้ ดร.เอกนิติสะท้อนว่า การเติบโตที่ต่ำลงเรื่อยมา เป็นผลจากการลงทุนในประเทศที่หดตัวลงอย่างรุนแรง โดยชี้ว่า ก่อนปี 2540 ไทยเคยมีการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันสูงถึง 40% ของ GDP ขณะที่ปัจจุบัน เหลือเพียง 23% เท่านั้น
นอกจากนี้ ไทยไม่เพียงขาดแคลนเทคโนโลยีและเครื่องจักรสมัยใหม่เท่านั้น แต่ยังขาดแรงงานทักษะสูงอีกด้วย โดยเฉพาะแรงงานในสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และเทคโนโลยี
ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้นักลงทุนต่างชาติ เลือกย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีความพร้อมของแรงงานมากกว่า ตัวอย่างเช่น เวียดนาม
ไทยเสี่ยง ‘ติดหล่ม ตกเหว’ ในอีก 4 เดือน
ดร.เอกนิติ เตือนถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีว่าจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน หลังเศรษฐกิจครึ่งปีแรกเติบโตดีที่ 3.2% ในไตรมาสแรก และ 2.8% ในไตรมาสสอง เนื่องจาก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เร่งส่งออก (Front-loading) ไปยังสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี เพื่อเลี่ยงผลกระทบของมาตรการภาษี
ด้วยเหตุนี้ การส่งออกในครึ่งปีหลังจึงอาจชะลอตัวแรง จนทำให้การเติบโตของ GDP ไตรมาส 4 เหลือเพียง 0.3% เท่านั้น ซึ่ง ดร.เอกนิติ เตือนว่า หากไม่เร่งเครื่องในช่วง 4 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะไม่เพียงติดหล่ม แต่อาจตกเหวได้
“ทุกวันนี้ เครื่องยนต์เราวิ่งชะลอลง ดิ่งลง แถมน้ำมันยังจะหมดอีก สภาพคล่องเหือดหาย ถ้ามองลึกๆ คนขับยังแก่ และไม่มีทักษะในการขับรถอีกด้วย เพราะโลกยุคใหม่ AI, Digital, Data พวกนี้เราไม่ได้พัฒนาทักษะให้พร้อมรองรับในอุตสาหกรรมใหม่”
“ไม่เพียงเท่า นั้น รถยนต์ยังเก่าอีก เพราะไม่ได้มีการพัฒนา หรือรองรับอุตสาหกรรมใหม่เลย นี่คือโจทย์ที่ประเทศไทยเจอ” ดร.เอกนิติกล่าว
ดัน ‘Quick Big Win’ เร่งเศรษฐกิจไม่ให้ดับ
ท่ามกลางโจทย์ปัญหาสารพัดที่ต้องรอการแก้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 80% ของจีดีพี ซึ่งฉุดกำลังซื้อในประเทศให้อ่อนแรงลง ตลอดจน SMEs ที่ขาดสภาพคล่อง ขณะที่ธนาคารเข้มงวดการปล่อยกู้
ส่วนปัญหาสังคมสูงวัย และแรงงานขาดทักษะใหม่ ก็ยิ่งซ้ำเติมให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดต่ำลง หลังแนวโน้มเครดิตเรตติ้งถูกปรับลดลง ท่ามกลางหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะเพดาน 70% ของ GDP
อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติระบุว่า เพื่อรับมือความเสี่ยงจากภาวะ ‘ติดหล่ม ตกเหว’ ทางทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายกอนุทิน ชาญวีรกูล จึงได้เดินหน้ากลยุทธ์ ‘Quick Big Win’ ขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายที่ทำได้ทันที มีผลใหญ่ และกระจายตัวถึงประชาชนวงกว้าง ดังนี้
- Quick: ลงมือได้ทันทีในกรอบ 4 เดือน
- Big: มีขนาดใหญ่พอจะดันเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้า
- Win: ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โดยคนรวยที่สุด 20% ของประเทศครองรายได้กว่า 50% ขณะที่คนจนที่สุด 20% ได้เพียง 6% เท่านั้น
โดยการบริโภคจะกลายเป็นเครื่องยนต์หลักในระยะสั้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยต้องดำเนินไปพร้อมกับการรักษาวินัยการคลัง ผ่านกรอบ “แผนการคลังระยะปานกลาง” (Medium-Term Fiscal Framework) ซึ่งจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อแสดงแผนบริหารรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะอย่างโปร่งใส สร้างความมั่นใจต่อตลาดต่างประเทศ