“ผมภูมิใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ”
นี่คือข้อความที่ทรัมป์โพสต์ผ่านทาง Truth Social ในประกาศเรื่องการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์เน้นว่าข้อตกลงฉบับนี้เกิดขึ้นได้หลังจากที่เขาเข้ามาเกี่ยวข้อง
บทบาทของทรัมป์ที่ต้องการเป็นผู้นำที่สามารถสร้างสันติภาพได้มากกว่าใคร เรียกเสียงฮือฮาและยิ่งดังชัดมากขึ้น เพราะทรัมป์ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้เพียงครั้งเดียว แต่ยังพยายามแปะป้ายให้ทั่วโลกรับรู้ เช่น กรณีล่าสุดบนเวทีประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติครั้งที่ 80 ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถยุติสงครามและความขัดแย้งที่ใครๆ ก็มองว่ายากจะยุติได้ แต่เขาทำได้จริง และทำได้ถึง 7 สงคราม
“ผมยุติ 7 สงคราม และในทุกกรณี สงครามเหล่านั้นกำลังดุเดือด มีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วน ซึ่งรวมถึงกัมพูชาและไทย โคโซโวและเซอร์เบีย คองโกและรวันดา ซึ่งเป็นสงครามที่โหดร้ายและรุนแรง ปากีสถานและอินเดีย อิสราเอลและอิหร่าน อียิปต์และเอธิโอเปีย อาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน”
ที่ผ่านมาทรัมป์ย้ำหลายครั้งว่าเขาคือคนที่เหมาะจะได้รับเลือกให้ชนะรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพประจำปี ซึ่งจะมีการประกาศชื่อผู้ชนะรางวัลในวันศุกร์นี้ (10 ตุลาคม)
“ไม่มีประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ทำได้ใกล้เคียงกับผม ทุกคนบอกว่าผมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพสำหรับความสำเร็จแต่ละอย่างเหล่านี้”
อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญซึ่งหลายคนยังคาใจและมีการวิเคราะห์ในแง่มุมต่างๆ คือ “ทรัมป์เหมาะสม หรือคู่ควรกับโนเบลสันติภาพแล้วจริงหรือไม่?”
ฉายาประธานาธิบดีแห่งสันติภาพนั้น นักวิเคราะห์บางคนมองว่าดูเป็นการอวดอ้างที่อาจเร็วเกินไป เพราะจริงๆ แล้วยังมีสงครามใหญ่ที่ทรัมป์หมายมั่นปั้นมือและประกาศมาตลอดว่าสามารถยุติลงได้โดยง่าย เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่จนถึงวันนี้แม้แต่การหยุดยิงก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเกิดขึ้นได้จริง ในขณะที่สงครามในกาซา ที่ล่าสุดทรัมป์พยายามเป็นตัวกลางให้อิสราเอลและกลุ่มฮามาสปิดดีลเจรจา ก็ยังไม่สำเร็จเป็นรูปธรรม
President of Peace คู่ควรหรือไม่
บทความจากสำนักข่าว ABC (Australian Broadcasting Corporation) ชี้ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญว่า คณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนความพยายามสร้างสันติภาพแบบพหุภาคีที่นานาชาติกำลังดำเนินอยู่ มากกว่าชัยชนะทางการทูตแบบรวดเร็ว ที่มาพร้อมแรงกดดันหรือเงื่อนไขบีบบังคับ
ธีโอ เซนู (Theo Zenou) นักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจากสมาคมเฮนรี แจ็กสัน (Henry Jackson Society) มองว่าความพยายามของทรัมป์ในการปิดดีลสันติภาพและยุติสงครามอย่างรวดเร็ว ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืน
“มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการยุติการสู้รบในระยะสั้นกับการแก้ไขต้นตอของความขัดแย้ง” เซนูกล่าว
ขณะที่ศาสตราจารย์คริสติน แซนด์วิค (Kristin Sandvik) จากสถาบันวิจัยสันติภาพออสโล ให้สัมภาษณ์กับ ABC ว่าจนถึงตอนนี้ เรายังคงไม่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมนักจากประธานาธิบดีทรัมป์
“สำหรับทรัมป์ เราจำเป็นต้องดูว่าความสำเร็จใดจะคงอยู่ และสันติภาพแบบใดจะเหลืออยู่ในอีกสองสามปีข้างหน้า “แน่นอนว่าเขาไม่ได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และพยายามอย่างจริงจังที่จะพูดคุยเกี่ยวกับสันติภาพ แต่คุณต้องทำมากกว่าแค่พยายาม” ศาสตราจารย์แซนด์วิคกล่าว
ทรัมป์ยังอยู่ในห้องสอบ
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ความเห็นว่า ประเด็นสำคัญที่ควรจับตามองคือ “ทรัมป์ทำสำเร็จจริงหรือไม่?” กับสิ่งที่เขาพยายามสร้างภาพว่าเป็น ‘ประธานาธิบดีเพื่อสันติภาพ (President for Peace)’ เพราะการเป็นผู้นำที่พูดเรื่องสันติภาพนั้นไม่ยาก แต่สิ่งสำคัญคือ ”เขาสามารถทำให้สันติภาพเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่?”
ดร.สุรชาติ ใช้คำเปรียบเปรยว่า “ทรัมป์ยังอยู่ในห้องสอบ” ซึ่งหมายถึงยังต้องรอดูผลสอบจากสถานการณ์จริง โดยเฉพาะกรณีของสงครามใหญ่อย่างกาซาและสงครามในยูเครน ว่าจะมีทางออกสู่สันติภาพได้จริงหรือไม่
โดยที่ผ่านมา ก่อนที่ทรัมป์จะโพสต์เกี่ยวกับกรณีปัญหาไทย–กัมพูชา เขาได้พยายามขับเคลื่อนประเด็นสันติภาพในหลายพื้นที่ ซึ่งบางกรณีถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ในบางกรณี เช่น ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา หรือกรณีของกาซาและยูเครน ทรัมป์ยังคงอยู่ระหว่างทำข้อสอบว่าจะสร้างสันติภาพได้จริงหรือไม่
ในกรณีสงครามยูเครนนั้น ทรัมป์เคยประกาศว่า “ภายใน 24 ชั่วโมงหลังรับตำแหน่งจะยุติสงครามยูเครน” ซึ่งในมุมมองของนักวิชาการ จะมองว่าเป็นเพียงสไตล์การพูดหาเสียงแบบทรัมป์ มากกว่าจะเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ เพราะการยุติสงครามนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
“คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ สงครามจะยุติลงได้ในรูปแบบไหน และภายใต้เงื่อนไขใด” เพราะในทางปฏิบัติ การยุติความขัดแย้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงเพราะคำประกาศหรือแผนสวยหรู แต่การทำให้คู่ขัดแย้งยอมรับและหยุดยิงต้องอาศัยปัจจัยทางการเมืองระหว่างประเทศ การประสานผลประโยชน์ และบทบาทของชาติมหาอำนาจ”
ละทิ้งพหุภาคี อาจส่งผลเสียชนะโนเบล
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า การที่ทรัมป์เพิกเฉยและพยายามถอยห่างจากสถาบันระหว่างประเทศและความกังวลทั่วโลกเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลเสียต่อเขา หากเขาคาดหวังจริงจังที่จะชนะรางวัลโนเบลสันติภาพ
“ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมอบรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในโลกให้กับคนที่ไม่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เซนูกล่าว
“เมื่อคุณมองไปที่ผู้ชนะในอดีตที่เคยเป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมโยง เป็นตัวแทนของความร่วมมือและการปรองดองระหว่างประเทศ นี่ไม่ใช่คำที่เราใช้กับทรัมป์”
นักวิเคราะห์ยังมองว่า การพูดอย่างตรงไปตรงมาของทรัมป์ ในความเป็นจริงก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้เขาชนะรางวัลได้เช่นกัน เพราะคณะกรรมการรางวัลโนเบลก็คงไม่อยากถูกมองว่ายอมจำนนต่อแรงกดดันทางการเมือง
ทางด้าน อัสเล โทเจ (Asle Toje) รองหัวหน้าคณะกรรมการรางวัลโนเบล ยืนยันว่าโดยทั่วไปแล้ว การล็อบบี้เพื่อให้ตัวเองได้รางวัลนั้นไม่เกิดประโยชน์
“การล็อบบี้เพื่อสร้างอิทธิพลแบบนี้มีผลกระทบเชิงลบมากกว่าเชิงบวก” โทเจกล่าว แต่ยืนยันว่าเขากำลังพูดถึงการล็อบบี้โดยทั่วไป ไม่ได้พูดถึงผู้สมัครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ