ในการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศภายใต้กรอบเวลาที่จำกัดเพียง 4 เดือน รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องเผชิญกับโจทย์การต่างประเทศที่เต็มไปด้วยความท้าทายทั้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และการทำงานระดับพหุภาคี
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ กำหนดวิสัยทัศน์อันชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยต้องการ “นำประเทศไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก” อีกครั้ง
ภารกิจสำคัญนี้ถูกทดสอบอย่างรวดเร็วบนเวทีประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ครั้งที่ 80 (UNGA80) หลังจำเป็นต้องตัดสินใจปรับแก้สุนทรพจน์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาของกัมพูชาแบบฉับพลัน โดยถ้อยแถลงในสุนทรพจน์ที่ถูกยกย่องว่า “หนักแน่นและเฉียบคม” เรียกเสียงปรบมือจากผู้แทนนานาชาติอย่างกึกก้องไปทั่วห้องประชุม UN
และนี่คือบทสัมภาษณ์พิเศษรัฐมนตรีต่างประเทศป้ายแดง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถและประสบการณ์ในฐานะ ‘นักการทูตมืออาชีพ’
เบื้องหลังปรับสุนทรพจน์ พลิกเกมโต้กัมพูชา
ภารกิจแรกของสีหศักดิ์ ในการกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เป็นภารกิจสำคัญในการนำเสนอภาพลักษณ์ของไทยต่อประชาคมโลก ที่ถูกจับตามองจากประชาชนไทยทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของถ้อยแถลงออกมาและได้รับความชื่นชมอย่างล้นหลาม ถือเป็นบททดสอบแรกในการวางกลยุทธ์ทางการทูตของสีหศักดิ์
เขาเปิดเผยว่าเดิมทีเนื้อหาของถ้อยแถลงนั้น ควรจะเป็นไปในโทนของการแสดงความพร้อมพูดคุย และปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น แต่ท้ายที่สุดเขาจำเป็นต้องตัดสินใจปรับเปลี่ยนเนื้อหาทั้งหมดในเวลาอันจำกัดเพียงประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อตอบโต้ท่าทีของกัมพูชา ที่พยายามใช้เวที UN สาดข้อกล่าวหาใส่ไทย
“เดิมที ผมก็คิดว่าเราอยากจะเปิดประตูสำหรับการพูดคุย เรื่องนี้สำคัญเพราะว่าความขัดแย้งนั้น วันหนึ่งมันก็ต้องมีการแก้ไขด้วยการทูตใช่ไหมครับ ผมก็คิดว่าโทนของถ้อยแถลงของเรา น่าจะเป็นไปในลักษณะที่เราพร้อมที่จะพูดคุย แต่แน่นอนเรื่องอธิปไตยของไทยเราต้องปกป้องเต็มที่”
“ก่อนที่จะไปกล่าวถ้อยแถลงนั้น ผมก็ได้มีโอกาสเจอกับปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และก็ได้พูดคุยกันว่า เราเป็นนักการทูต ก็ต้องมีหน้าที่ที่จะรักษาช่องทางในการพูดคุย แม้ว่าประเทศของเราจะขัดแย้งกันเราก็ต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ว่าแต่ละคนมีท่าทีอย่างไร เพราะอะไร และก็ต้องพูดด้วยว่า จะต้องหาแนวทางอย่างไรที่จะค่อยๆ ปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น จะก้าวข้ามความขัดแย้งได้อย่างไร”
“นอกจากนี้ ยังมีการประชุม 4 ฝ่าย ระหว่างไทย กัมพูชา มาเลเซีย แล้วก็สหรัฐฯ ที่เป็นผู้จัด ก็มีการหารือซึ่งเป็นในลักษณะที่ว่า เราต้องเริ่มมีความคืบหน้า โดยการประชุม GBC และสิ่งที่เราตกลงกัน ก็ต้องรักษาความคืบหน้าและทำให้เป็นรูปธรรม มันก็เป็นโทนของการพยายามเดินหน้า แต่พอวันรุ่งขึ้น ที่จะต้องกล่าวถ้อยแถลง เราก็ฟังฝ่ายกัมพูชาขึ้นกล่าวก่อน ซึ่งในช่วงแรกก็ดีอยู่ แต่ช่วงหลังนั้นกลับมีการกล่าวหาประเทศไทยว่ายั่วยุและเป็นฝ่ายริเริ่มความขัดแย้ง ซึ่งเป็นการพยายามสร้างความได้เปรียบฝ่ายเดียว ทำให้ถ้อยแถลงที่เราเตรียมไว้ซึ่งเป็นไปในทางบวกนั้น เป็นไปไม่ได้” สีหศักดิ์ กล่าว
เขาเผยว่าตัดสินใจเปลี่ยนเนื้อหา โดยเป็นไปในเชิงรุกและไม่ใช่การแก้ตัว และได้มีการปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน รวมถึงเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ
ขณะที่สีหศักดิ์ระบุว่า เนื้อหาที่พยายามสื่อสารบนเวที UN คือชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่กัมพูชาพยายามสะท้อนว่าตนเองเป็นเหยื่อนั้นไม่ถูกต้อง
“ที่ผมกล่าวไปก็คือ ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บ นักเรียนไทยที่โรงเรียนเขาถูกโจมตี หรือคนไทยที่ไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อที่ถูกจรวดโจมตี นั่นคือเหยื่อที่แท้จริง โดยจริงๆ แล้ว ไทยเราไม่อยากไปทวงบุญคุณเราอยากอยู่กับเพื่อนบ้าน อยากให้เพื่อนบ้านเนี่ยมีความแข็งแกร่ง มีสันติภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์กับเรา”
“แต่พอกัมพูชากล่าวหาว่าไทยไปขับไล่พลเรือนกัมพูชาออกจากหมู่บ้านต่างๆ เราก็ต้องเท้าความว่าหมู่บ้านเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งมาจากการที่ประเทศไทยนั้นยึดหลักมนุษยธรรม ตอนที่กัมพูชามีปัญหาสงครามกลางเมือง และไทยได้เปิดพรมแดนรับผู้อพยพเป็นแสนคน ซึ่งตอนนั้นผมก็เพิ่งเข้าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ และได้ไปเห็นสภาพของคนกัมพูชาตอนนั้น คือไม่มีที่อยู่อาศัย อยู่ตรงชายแดน เราก็เปิดให้เขาเข้ามา บางคนตายต่อหน้าผมก็มี เพราะฉะนั้นก็ไอ้สิ่งเหล่านี้ต้องพยายามให้คนได้จำประวัติศาสตร์ให้ดี” สีหศักดิ์ กล่าวและย้ำข้อเท็จจริงว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นฝ่ายที่พยายามอย่างมากเพื่อให้กัมพูชากลับมามีสันติภาพและให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด
“ที่เขามีสันติภาพตอนนี้เพราะไทยช่วยให้เขากลับมาสันติภาพ เพราะเราเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้าน เราอยากให้สันติภาพ เราใช้ความพยายามตั้งเยอะแยะเลย ผมยังอยู่ในคณะไปประชุมที่อินโดนีเซีย ประชุมที่นิวยอร์ก ประชุมที่ปักกิ่ง เกี่ยวกับเรื่องสันติภาพในกัมพูชา แล้วก็มาประชุมที่เมืองไทย และในที่สุดก็ไปสู่การประชุมสันติภาพที่ปารีส ที่มีการลงนามข้อตกลงสันติภาพ เราก็ช่วยนำสันติภาพมาสู่กัมพูชา พอสันติภาพกลับสู่กัมพูชา เราก็ยังเห็นว่าเราต้องช่วยเขาสร้างประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ แล้วเราก็ทำ เราเข้าไปสร้างถนน เราเข้าไปสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล แม้กระทั่งช่วงหลังเนี่ยเราก็ยังมีโครงการให้ความช่วยเหลือกับกัมพูชา เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เราทำเพื่อกัมพูชา”
ขณะที่สีหศักดิ์ กล่าวว่าในช่วงท้ายของถ้อยแถลงนั้น เขาได้ตั้งคำถามต่อฝ่ายกัมพูชา ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ระหว่างเส้นทางของความขัดแย้ง การทำสงคราม ความสูญเสียของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ หรือเส้นทางสันติภาพที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน โดยหาทางคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้ง เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข มีสันติภาพ มีความสงบและปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน
ก้าวต่อไปสำหรับไทย-กัมพูชา
สำหรับก้าวต่อไปของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชานั้น สีหศักดิ์มองว่า ทั้งสองฝ่ายควรจะเลิกโต้กันไปมา และต้องหาหนทางว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไปได้
“ ที่ประชุม GBC ล่าสุดก็มีหลายเรื่องที่เป็นเรื่องดีๆ ในทางบวก เช่น การทำให้ข้อตกลงหยุดยิงมีความยั่งยืน เรื่องของการกวาดทุ่นระเบิด เรื่องของการปราบปรามอาชญากรรมตามแนวชายแดน แก๊ง Call Center หลอกลวงออนไลน์ต่างๆ และสำคัญที่สุดคือการเริ่มลดความตึงเครียดโดยการถอนอาวุธหนักออกจากบริเวณพื้นที่ชายแดน”
“สิ่งเหล่านี้ถ้าเราทำได้และให้มันเป็นรูปธรรมเนี่ย ผมคิดมันจะทำให้ความสัมพันธ์บรรยากาศดีขึ้น เป็นการแสดงความจริงใจที่มีต่อกัน แล้วเราควรจะเร่ง เพราะที่เราตกลงกันนั้น เป็นการตกลงในหลักการ จะต้องมีการประชุมต่อเพื่อคุยกันในรายละเอียดต่างๆ แทนที่จะโต้กันไปมา เรามามุ่งเน้นตรงนี้ดีกว่า”
ขณะที่เขาเน้นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมี ยุทธศาสตร์ต่อกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยยุทธศาสตร์นี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อไทยมี ‘เอกภาพภายในประเทศ’ โดยฝ่ายความมั่นคง ทหาร และตำรวจ จะต้องทำงานไปในทิศทางเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ
“ผมคิดว่าเราต้องพูดคุยกันให้ครบถ้วนทุกประเด็น ไม่ใช่ประเด็นเฉพาะหน้าแต่มองไประยะยาวด้วย” อย่างพรุ่งนี้ (2 ตุลาคม) ก็จะมีการประชุมสภาความมั่นคงที่ท่านนายกฯ เป็นประธาน ก็เป็นโอกาสที่สำคัญที่จะนำเอาประเด็นต่างๆ มาพูดคุยรวมถึงเรื่องที่ผมไปร่วมประชุม UNGA และเจอกับทางฝ่ายกัมพูชา และการประชุม 4 ฝ่ายที่สหรัฐฯ จัดขึ้น รวมถึงในกำหนดการข้างหน้า เช่น การประชุมผู้นำอาเซียน ซึ่งทั้งผู้นำไทยและกัมพูชา จะต้องเข้าร่วม”
โดยสีหศักดิ์ ชี้ว่าไทยควรมีจุดยืนที่หนักแน่น หากต้องเจอผู้นำกัมพูชาในเวทีนี้
“เราต้องหนักแน่นในท่าทีของเรา คือเราไม่ได้เป็นคนที่สร้างสถานการณ์ และเราพร้อมที่จะเจรจาคลี่คลายสถานการณ์ แต่ในขณะเดียวกันเนี่ยเราก็มุ่งมั่นในการปกป้องอธิปไตยและดินแดนของไทย” เขากล่าว และเผยว่า “หากฝ่ายกัมพูชาอยากคุย ฝ่ายไทยก็พร้อมที่จะคุย”
‘เมียนมา’ โอกาสไทยแสดงบทบาทการทูต
ภายใต้การทำงานของรัฐบาลที่มีระยะเวลาจำกัดแค่ 4 เดือน สีหศักดิ์ เปิดเผยว่านอกจากประเด็นเรื่องกัมพูชา เขาวางลำดับความสำคัญเรื่องนโยบายการต่างประเทศอันดับ 2 ไว้ที่ประเด็นเมียนมา
เขามองว่า สถานการณ์ในเมียนมานั้นส่งผลกระทบต่อไทย ทั้งในเรื่องของสถานการณ์ชายแดน และความไม่มั่นคงในเมียนมา และมองว่าเมียนมายังเป็น ‘โอกาส’ ที่ไทยจะแสดงบทบาทด้านการทูต
“เราต้องอยู่ในแนวหน้าแล้วว่า ในขณะที่เมียนมากำลังจะมีการจัดการเลือกตั้ง เราจะมีท่าทีอย่างไรกับการเลือกตั้งนี้ ซึ่งควรที่จะเป็นท่าทีร่วมกันระหว่างอาเซียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไทยต้องให้ความสำคัญและมีความชัดเจนในท่าทีของเรา โดยไทยต้องการเห็นสันติภาพ ซึ่งเป็นเรื่องของเมียนมาที่ต้องแก้ไข แต่ไทยอยากจะช่วยให้เมียนมาเดินไปสู่เส้นทางของการพูดคุยระหว่างฝ่ายต่างๆ”
เขาชี้ว่า ประเด็นเมียนมานั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการต่างประเทศอย่างเดียว แต่ยังประเด็นด้านความมั่นคงด้วยโดยสถานการณ์ชายแดนนั้น ทั้งกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ตลอดจนฝ่ายกองทัพ ต้องมาคุยกันว่านโยบายของไทยต่อเมียนมานั้น มีมิติอะไรบ้าง
ขณะที่เขามองว่า ในกรอบอาเซียนนั้น ไทยต้องพยายามขับเคลื่อนท่าทีของอาเซียน ว่าสิ่งที่ตกลงกันในเรื่องฉันทามติ 5 ข้อ จะมีการดำเนินการอะไรบ้าง เช่น กรณีผู้แทนพิเศษของอาเซียน ที่มีวาระดำรงตำแหน่งเพียง 1 ปี แต่ภารกิจจริงๆ แล้ว 1 ปีนั้นไม่จบแน่นอน ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นปัญหาของความต่อเนื่อง และเสนอให้อาเซียนเนี่ยพิจารณาให้ผู้แทนพิเศษมีวาระดำรงตำแหน่งที่นานขึ้น อาจจะ 3 ปี ซึ่งจะช่วยให้อาเซียนสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ได้
นอกจากนี้ เขายังเสนอว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย อินเดีย จีน ควรจะต้องประสานท่าทีกัน ว่าเราจะช่วยทำยังไงให้ฝ่ายต่างๆ ในเมียนมาได้เข้าสู่กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
กระทรวงต่างประเทศ ควรอยู่ใน ครม.เศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เขาย้ำเรื่อง ‘การทูตเศรษฐกิจ’ ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ โดยกระทรวงการต่างประเทศควรทำหน้าที่เป็น ‘กระทรวงเศรษฐกิจ’ ด้วย และควรเข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เพื่อใช้ประโยชน์จากสถานทูตในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนอย่างเต็มที่
“กระทรวงต่างประเทศสามารถที่จะเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องของเศรษฐกิจได้ เรามีสถานทูตและสถานกงสุลหลายแห่ง เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยสามารถที่จะเข้าถึง และส่งเสริมเรื่องการค้าเรื่องการลงทุนได้อย่างดี อยากจะเห็นเอกอัครราชทูตของไทย รายงานว่าทำอะไรบ้างในเรื่องของการผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย”
เข็มทิศใหม่การทูต ‘ครบมิติ – ทุกทิศทาง – Beyond ไทย’
สีหศักดิ์สะท้อนภาพสถานการณ์ด้านการต่างประเทศของไทยในช่วงที่ผ่านมาว่า “เราหายไปเยอะเลยจากจอเรดาร์โลก” เมื่อมีการกล่าวถึงภูมิภาคเอเชียหรืออาเซียน
เขาชี้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมักถูกกล่าวถึงเพียงในแง่ของความเป็นประเทศที่ดี ผู้คนยิ้มแย้ม อาหารอร่อย หรือแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามเท่านั้น แต่มักขาดการกล่าวถึงในแง่ของพลวัตทางเศรษฐกิจ การขับเคลื่อน หรือการเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตยในภูมิภาค
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เขามองว่าประเทศไทยต้องมี ‘เข็มทิศใหม่’ สำหรับการทูต โดยต้องมองในภาพใหญ่และมองไปข้างหน้า เพื่อปูพื้นฐานสำหรับการต่างประเทศในอนาคต
โดยแนวคิดหลักสำหรับเขา ในการนำไทยกลับสู่จอเรดาร์โลกมีองค์ประกอบด้านการทูตที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่
- การทูตครบทุกมิติ (Multi-Dimensional)
- การทูตทุกทิศทุกทาง (Multi-Directional)
- การทูตที่ก้าวไปไกลกว่าประเทศไทย (Beyond Thailand)
“ผมคิดว่าประเทศไทย อันดับแรกคือ การทูตของเราต้องครบทุกมิติ มิติการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม อย่างที่สองก็คือการทูตไทยต้องไปทุกทิศทุกทาง ผลประโยชน์เราอยู่ที่ไหนเราก็ต้องไปที่นั่น ปัจจุบันเนี่ยแอฟริกาเนี่ยเราก็ต้องไป เพราะเราต้องขยายตลาดที่แอฟริกา และ 3 คือ Beyond ประเทศไทย คือไม่ใช่ผลประโยชน์ใกล้ตัวเราเอาแค่นั้น ไม่ใช่ อะไรที่เราส่งเสริมโลก สุขภาวะที่ดีของประชาคมโลก เรื่องของภูมิภาค สันติภาพเนี่ยเราจะทำ” กล่าว
ขณะที่สีหศักดิ์ ยืนยันว่า เอกอัครราชทูตไทยที่ประจำอยู่ในทุกประเทศนั้น จะต้อง “ตื่นตัวทำงานทุกทิศทุกทาง” เพื่อสอดคล้องกับแนวทางเข็มทิศใหม่ทางการทูต
“ต้องตื่นตัวแล้วทำงาน แล้วจะต้องรายงานด้วยว่าการทำงานแต่ละเดือนเนี่ยทำอะไรบ้าง ไปพบใครบ้าง เพื่ออะไร จัดเลี้ยงกับใคร ทำเพื่ออะไร ต้องมีเป้าหมาย ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Walk the talk คือไม่ใช่ Talk อย่างเดียวเราต้อง Walk ด้วย ต้องให้เกิดผลให้ได้”
ในแง่ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจนั้น สีหศักดิ์เน้นย้ำว่า ไทยต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ‘ทุกขั้วอำนาจ’ ทั้ง จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย โดยมีท่าทีสอดคล้องกับชาติอาเซียนอื่นๆ ที่อยากให้มหาอำนาจเหล่านี้มีบทบาทที่สร้างสรรค์ในภูมิภาค
กรณีของสหรัฐฯ เขามองว่าไทยไม่ควรมองเพียงประเด็นมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐนั้น ยังสามารถที่จะบุกเบิกหาความร่วมมือใหม่ๆ ได้อีกมากมาย
ขณะที่สีหศักดิ์ ทิ้งท้ายโดยชี้ว่า การที่จะบอกได้ว่า “ไทยกลับสู่จอเรดาร์โลกแล้ว” นั้น ขึ้นอยู่กับการที่นานาชาติพูดถึงประเทศไทยมากขึ้น พร้อมย้ำว่า การปฏิบัติหน้าที่ตลอดระยะเวลา 4 เดือนนี้ ต้องเป็น 4 เดือนที่มีความหมาย โดยจะเป็นการทำหน้าที่ในเชิงรุกเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ