บทสนทนานี้ความจริงแล้วสมควรเป็นความลับระดับสูงสุด แต่เพราะความผิดพลาดทำให้การพูดคุยกันระหว่างสองผู้นำชาติมหาอำนาจของโลกอย่าง สีจิ้นผิง และวลาดิเมียร์ ปูติน หลุดออกมาสู่โลกภายนอกและทำให้คนทั้งโลกต้องเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ
“ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีชีวภาพจะทำให้เราเปลี่ยนถ่ายอวัยวะของมนุษย์ได้ ดังนั้นคนจะสามารถคงความหนุ่มสาวได้ หรือแม้แต่เป็นอมตะ” ล่ามแปลภาษาถ่ายทอดข้อความสู่ผู้นำแดนมังกร ก่อนที่จะมีการพูดตอบกลับสั้นๆว่า “มีการทำนายกันว่าในศตวรรษนี้มนุษย์อาจจะอยู่ได้ถึง 150 ปี”
เรื่องนี้หากได้ยินเมื่อ 10 ปีที่แล้วอาจคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่สำหรับในยุคปัจจุบันกระแส ‘Longevity’ หรือการยืดอายุของมนุษย์ให้ยืนยาว กำลังเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจในวงกว้างอย่างมาก ผู้คนกำลังคลั่งไคล้ทำในสิ่งที่เชื่อว่าจะช่วยเราสามารถมีวันพรุ่งนี้และตื่นมาพบกับวันใหม่ได้มากกว่าที่เคยคิดหวัง
ตั้งแต่นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะที่ช่วยบอกได้ว่าเราหลับนอนเป็นอย่างไร การลงไปแช่ในอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมมากมายที่มีให้เลือกเติมเต็มในสิ่งที่ร่างกายขาดและต้องการ
แต่คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้ รวมถึงการลงทุนมหาศาลมันตั้งอยู่บนความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ไหม?
Longevity ว่าด้วยบทสนทนาใหม่ของชีวิต
บทสนทนาประเด็นเรื่อง ‘Longevity’ บนโลกออนไลน์ในบ้านเราช่วงที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังให้ความสนใจกับประเด็นที่เคยถูกมองว่าไกลตัว
ถึงในความรู้สึกของใครหลายคนโลกใบนี้อาจจะน่าอยู่น้อยลง แต่หากเลือกได้คนจำนวนไม่น้อยก็อยากที่จะอยู่ได้ยืนยาวขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จะเพื่อใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักให้นานขึ้น อยู่เพื่อทำภารกิจบางอย่างของชีวิต ไปจนถึงอยู่เพื่อสั่งสมความมั่งคั่งเพื่อตัวเองและลูกหลานในวันข้างหน้า
หรือบางคนอาจจะไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่าการมีสุขภาพที่ดี ยืนยาว แต่ไม่สร้างปัญหาและภาระให้กับตัวเองและคนรอบตัวในวันข้างหน้าเมื่อถึงเวลาใกล้ที่จะต้องจากโลกนี้ไป
สิ่งเหล่านี้นำไปสู่คำถามมากมายกับคำตอบหลากหลายที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและกันถึงสิ่งที่มนุษย์ทำได้ในปัจจุบันเพื่อให้ชีวิตยืนยาว ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างการนอน ไปจนถึงเทคโนโลยีที่น่าสนใจ กับราคาที่ต้องจ่าย (หรูหราหรือภาระ?)
ไม่นับวิดีโอไลฟ์สไตล์จากเหล่าผู้มีอิทธิพลทางสังคมหรือ ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ (Influencer) ที่ผลัดกันขึ้นมาบนหน้าฟีดตามการแนะนำของสมองกลอัจฉริยะในแต่ละแพลตฟอร์ม ยิ่งทำให้เรื่องนี้ถูกผลักเข้ามาใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น
ความสนใจเหล่านี้ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกระแส Longevity มากมาย ยกตัวอย่าง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การเรียนรู้ตลอดชีวิต, เทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยืนยาว, ธุรกิจสุขภาพและความงาม หรือการแพทย์
แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เราเดินทางมาค่อนข้างไกลแล้ว
การรวมตัวของเหล่ายอดมนุษย์
ลองคิดกันเล่นๆว่าถ้าอยากจะมีอายุยืนยาว ไม่ต้องถึงหมื่นปีก็ได้แค่เพียง 150 ปี หรือขั้นต่ำที่สุดก็ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นอีก 20 ปี เราต้องลงทุนเท่าไร?
สำหรับผู้เขียนอาจจะเป็นการลงทุนกับนาฬิกาอัจฉริยะอย่าง Whoop ที่ช่วยบอกได้ว่าคุณภาพการนอนและสัญญาณชีวิตต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ไปจนถึงการทำกิจกรรมที่เขาว่าช่วยได้อย่างการแช่น้ำแข็ง (Ice bath) และการจ่ายเงินเข้าฟิตเนส
แต่สำหรับเหล่าอัครมหาเศรษฐีของโลกแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ได้ลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาเพื่อค้นหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขายืนยาวขึ้น ตามข้อมูลจาก Wall Street Journal
เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos), แซม อัลต์แมน (Sam Altman), ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel), ยูริ มิลเนอร์ (Yuri Milner) และ มาร์ค อันดรีสเซน (Marc Andreessen) เป็นกลุ่มนักธุรกิจที่ทุ่มเงินมหาศาลไปกับงบประมาณการลงทุนในอุตสาหกรรม Longevity โดยที่มีนักลงทุนจากทั่วโลกที่พร้อมให้การสนับสนุนด้วย
ธีล คือหนึ่งในคนที่ลงทุนมากที่สุดผ่านการจัดตั้งบริษัทมากกว่า 10 แห่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนผ่านกองทุนการลงทุนส่วนตัวของเขาและองค์กรการกุศลอื่นๆที่เขาให้การสนับสนุน โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700 ล้านดอลลาร์
ขณะที่อัลต์แมน อดีตผู้ก่อตั้ง OpenAI ปัจจุบันลุยเต็มตัวกับ Retro Biosciences สตาร์ทอัพด้าน Longevity และกำลังคิดค้นยาที่จะช่วยลดอายุสมองของเราให้อ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยต่อต้านโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งเตรียมจะทดสอบกับมนุษย์จริงๆในช่วงปลายปีนี้
เรียกได้ว่าเหมือนการรวมตัวกันของเหล่ายอดมนุษย์ในภารกิจสำคัญ
ไม่ใช่เพื่อกู้โลก แต่เพื่อให้เรามีเวลาบนโลกใบนี้มากขึ้น
หรือพูดให้ตรงกว่านั้น เพื่อให้พวกเขาอยู่ได้นานขึ้น
ยุคทองของ Longevity
ความจริงแล้วการค้นหาความลับของชีวิต ในการจะทำให้เป็นอมตะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามที่จะค้นหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy grail) ของชาวตะวันตก หรือตำนานชาวตะวันออก เช่น การพยายามตามหายาที่จะทำให้เป็นอมตะของจิ๋นซีฮ่องเต้
ในยุคปัจจุบันมนุษย์เองก็ยังคงตามหาสิ่งที่จะทำให้ชีวิตยืนยาวได้อยู่ แต่เป็นในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าใจกฎธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนจากการอยู่จนชั่วฟ้าดินสลายกลายเป็นการอยู่นานๆได้ไหมแทน ผ่านการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์
การพยายามค้นหาคำตอบนี้อย่างจริงจังมีขึ้นมายาวนานเกิน 2 ทศวรรษ เนิ่นนานก่อนที่จะกลายเป็นกระแสในสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีการทดลองวิจัยจำนวนมากที่นำมาสู่สิ่งต่างๆที่เป็นธุรกิจในเวลานี้
เพียงแต่ 3 สิ่งที่เป็นหัวหอกของการวิจัยเรื่อง Longevity ในเวลานี้ที่เหล่าบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีและนักลงทุนแบ่งออกเป็น
- ความพยายามในการย้อนกลับหรือเปลี่ยนแปลงอายุขัย
- การพัฒนายาสำหรับการต้านโรคที่เกี่ยวกับอายุ
- การขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น
โดยความท้าทายที่สุดคือการพยายาม ‘รีโปรแกรม’ (Reprogram) และการชุบชีวิตเซลล์ในร่างกายขึ้นใหม่ เปลี่ยนแปลงชีวิตจากส่วนที่เล็กเกือบที่สุดของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต่างอะไรจากการสร้างน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถเลือกได้ว่าอยากจะให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าหรือเดินถอยหลังก็ได้
ตามข้อมูลจาก The Journal ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้คือสตาร์ทอัพอย่าง Altos Labs แห่งซิลิคอนวัลลีย์ใต้การสนับสนุนของเจฟฟ์ เบโซส ที่ลงทุนไป 3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ จากจำนวนเม็ดเงินลงทุนในตลาดรวม 5.1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐขณะที่บริษัทอื่นๆก็พยายามจะระดมทุนเพื่อลุยด้านนี้ด้วยเช่นกัน
ไม่นับในส่วนของผู้เล่นรายย่อยในตลาดที่มีตั้งแต่ผู้ผลิตยา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อุปกรณ์ Wearable ล้ำสมัย และผู้ให้บริการด้านต่างๆ ไม่ใช่แค่ Longevity ด้านความงาม แต่เป็นด้านร่างกาย
มูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรม Longevity มีมูลค่าในปี 2024 ที่ 2.129 หมื่นเหรียญ และคาดว่าภายในปี 2035 มูลค่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 6.3 หมื่นล้านเหรียญ
ถ้าไม่เรียกว่ายุคทองก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว
กำแพงที่มองไม่เห็น
อย่างไรก็ดี ในความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมอายุยืนยาว มีอย่างน้อยหนึ่งคนที่รู้สึกกังวลในการเติบโตนี้และพยายามทักท้วง ที่สำคัญคนที่ท้วงก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญระดับ ‘บิดา’ ของวงการอย่าง เลียวนาร์ด กัวเรนเต (Leonard Guarente) ผู้ที่เป็นหนึ่งในคนจุดกระแสเรื่อง Longevity ตั้งแต่เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว
กัวเรนเต เป็นผู้ค้นพบความลับเกี่ยวกับยีนของมนุษย์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่วางรากฐานเกี่ยวกับการศึกษาความลับของชีวิต และมีส่วนในการช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อมาที่ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักของวงการ
แต่ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์วัย 72 ปีรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ที่นำเสนอแก่ผู้คนนั้น มันไม่ได้อิงอยู่บนผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเดินตามกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อที่จะทำรายได้ให้มากที่สุดมากกว่า
หรือพูดง่ายๆคือบางอย่างก็ ‘เกินความจริงไป’ และยังมีการถกเถียงกันเองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ด้วยว่าของใครถูกใครผิด
“ในเรื่องของวัย แต่ละคนต่างก็มีทฤษฎีที่ตัวเองชื่นชอบ มันทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับทฤษฎีที่ไม่ได้เป็นของตัวเอง” กัวเรนเต ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Elysium ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในการกระตุ้นการทำงานของเซอร์ทูอิน กลุ่มของโปรตีนที่มีหน้าที่ในการทำงานของเซลล์ในร่างกายและช่วยชะลออายุกล่าว
ขณะที่กลุ่มนักวิจัยจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเวลานี้การศึกษาความลับของร่างกายมนุษย์เดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
กล่าวคือเราไม่สามารถจะก้าวไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
โดยในปีกลาย (2024) มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาทาง Nature เกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยของมนุษย์ในช่วง 100 ปีนับจากปี 1900-2000 เฉพาะชาวสหรัฐอเมริกามีค่าเฉลี่ยอายุเพิ่มจาก 47 เป็น 77 ปี ซึ่งเป็นผลจากการค้นพบวัคซีน, ยาปฏิชีวนะ, ระบบสาธารณสุข และโภชนาการที่ดีขึ้น แต่ความก้าวหน้าในเรื่องเหล่านี้กลับเชื่องช้าลงอย่างมาก
ทีมผู้วิจัยยังระบุว่าอย่าว่าแต่การมีอายุยืนยาวถึง 150 ปีเลย แค่อายุยืนให้ครบ 100 ปีก็ยากแล้ว โดยแบบจำลองที่อ้างอิงจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา 30 ปี ระบุว่าในสถานการณ์ที่ดีที่สุดจะมีผู้หญิงแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ และผู้ชายอีก 5 เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ที่จะมีอายุถึง 100 ปี
อยู่อย่างดี
ขณะที่คนทั่วไปในสังคม คำว่า Longevity อาจไม่ได้มีเป้าหมายในเรื่องของอายุที่ยืนยาว แต่เป็นการอยู่อย่างดี สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรค ซึ่งแน่นอนว่าถ้าทำได้ก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างแน่นอน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินมากมายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้ ยกเว้นว่ามีกำลังจ่ายเพื่อให้ไปสู่ Longevity ในระดับที่ Advanced กว่าก็ตามสะดวก
สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการกินดี การนอนหลับพักผ่อนที่ดี และการออกกำลังกาย (ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่การโหนบาร์ก็อาจช่วยให้มีอายุยืนขึ้นถึง 10 ปีแล้ว)
รวมถึงการดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี มองหาความสุขเล็กๆให้พบในแต่ละวัน ดูแลคนใกล้ตัวให้ดี ยิ้มและหัวเราะ และพยายามใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ถอดบทเรียนชีวิตจากเมื่อวาน วางแผนอนาคตสำหรับวันพรุ่งนี้ และอย่าลืมใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในแต่ละวัน
บางทีการทำแค่นี้ก็อาจจะเพียงพอที่จะบอกว่า “เราได้ใช้ชีวิตกันอย่างดีแล้ว”
ในช่วงเวลาเล็กๆที่เรายังมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้
ภาพปก: Olga Rolenko / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.wsj.com/health/wellness/billionaires-longevity-health-04dd205c
- https://www.wsj.com/health/wellness/longevity-antiaging-leonard-guarente-business-f55643f4
- https://www.businessinsider.com/retro-biosciences-sam-altman-antiaging-brain-pill-longevity-healthspan-2025-9
- https://www.forbes.com/sites/deloitte/2025/08/18/a-new-digitally-enabled-workforce-era-how-ai-agents-can-help-deliver-functional-efficiency-and-value-across-the-enterprise/
- https://www.businessinsider.com/xi-jinping-putin-hotmic-talking-about-living-to-150-longevity-2025-9
- https://www.businessinsider.com/tech-billionaires-trying-to-hack-longevity-and-live-forever-2025-9
- https://www.forbes.com/sites/peterbendorsamuel/2025/04/11/staying-younger-for-longer-the-longevity-industrys-trillion-dollar-moment/