SCB EIC เตือนเศรษฐกิจไทย จ่อเข้าสู่ ‘ความจริงใหม่’ ที่ GDP โตไม่ถึง 2% เรื่อยไป มองเศรษฐกิจปีนี้ยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) มองโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ควรทำ แต่ผลกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่ถึง 0.1% ย้ำมาตรการระยะสั้น ‘ยังไม่พอ’ ต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างระยะยาว
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน, ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.8% ปีนี้ ไม่ต่างจากประมาณการเดิม และยังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1%
สำหรับประมาณการปี 2569 SCB EIC คาดการณ์ว่า GDP จะชะลอลงเหลือ 1.5% เนื่องจาก ความท้าทายภายนอกและภายในจะมาพร้อมข้อจำกัดการคลังที่มากขึ้น นอกจากนี้ ดร.ยรรยงยังมองว่า ความเปราะบางภายในประเทศมีน้ำหนักสูงกว่าความเสี่ยงจากภายนอกในสัดส่วนราว 60:40
โดยความท้าทายในประเทศ ได้แก่
- ธุรกิจ SMEs เปราะบาง : รายได้เฉลี่ยยังต่ำกว่าก่อนโควิด กำไรต่ำ บริษัท “ผีดิบ” เพิ่มขึ้น
- ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ : ว่างงานบางกลุ่มสูงขึ้น ชั่วโมงทำงานลด รายได้ลดลง
- ข้อจำกัดการคลัง : เสี่ยงเบิกจ่ายช้า หนี้สาธารณะใกล้แตะเพดาน เสี่ยงถูกลดอันดับเครดิตประเทศ
ขณะที่ ความท้าทายนอกประเทศ ได้แก่
- สงครามการค้า : ภาษีสหรัฐฯ 19% เริ่มกดดัน ส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ชะลอลง สินค้าหลายกลุ่มเริ่มหดตัวและมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
- บาทแข็งนำสกุลอื่น : แข็งสุดตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2540 ไม่สอดคล้องปัจจัยพื้นฐาน ยิ่งกดดันส่งออกและท่องเที่ยว
- นักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าปีก่อน มีสัญญาณพ้นจุดต่ำสุด : นักท่องเที่ยวใช้จ่ายระวังขึ้น ไทยอาจเสียเปรียบคู่แข่งจากบาทแข็ง
เศรษฐกิจไทยจ่อเข้าสู่ ‘ความจริงใหม่’
ดร.ยรรยง ยังระบุว่า คาดการณ์การเติบโต GDP ปีนี้ที่ 1.8% และปีหน้าที่ 1.5% ถือเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างต่ำ และสะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยอาจกำลังเข้าสู่ “Another Reality” หรือความจริงใหม่ ที่ไทยอาจโตไม่ถึง 2% ติดต่อกันต่อเนื่อง
คาด ‘คนละครึ่ง’ กระตุ้น GDP ได้เพียง 0.1% ต่อ GDP
ดร.ยรรยง กล่าวต่อว่า ในประมาณการเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งคาดว่า จะโตราว 1%YoY ได้คิดรวมเม็ดเงินที่ภาครัฐเตรียมจะใช้แล้วจากงบประมาณที่เหลืออยู่ราว 25,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นรูปแบบหนึ่งของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่ปัจจุบัน คาดว่า เปลี่ยนมาเป็นโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ดร.ยรรยง ยังมองว่า ‘คนละครึ่ง’ เป็นโครงการที่ดี และควรจะต้องทำ เพียงแต่ว่าผลในการกระตุ้น GDP อาจจะมีจำกัด หรือไม่ถึง 0.1%
โดยอธิบายว่า “คนละครึ่ง มีทั้งมิติการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมิติช่วยลดค่าใช้จ่าย ดังนั้น ถ้าการที่รัฐบาลออกให้ 50% แล้วผู้คนเอาอีก 50% มาใช้จ่ายต่อ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ถ้าคนเลือกจะประหยัด แล้วเก็บเงินไว้แทน ไม่ใช้จ่ายเพิ่ม ก็อาจจะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผลกระทบจึงไม่น่าจะเยอะ โดยไม่น่าถึง 0.1% ของGDP”
“ทุกมาตรการก็มีข้อดีข้อเสีย แต่มาตรการคนละครึ่ง ผมเชื่อว่า เป็นมาตรการที่ดี สำคัญที่สุดน่าจะออกมาได้ค่อนข้างทันการณ์ หลังจากตอนนี้ ไทยเสียโอกาสในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปพอสมควร หลังเกิดความล่าช้าต่างๆ ทำให้อุปสงค์เริ่มแผ่วจริงๆ ดังนั้น มาตรการที่ดีก็คือมาตรการที่ทำได้ และออกมาได้เร็วทันการณ์” ดร.ยรรยงกล่าว
นอกจากนี้ ยังมองว่า การมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี หรือ ‘คนละครึ่งพลัส’ ก็เป็นการเริ่มทำให้เห็นว่า การอยู่ในระบบก็มีประโยชน์ และเป็นการสนับสนุนการขยายฐานภาษีของประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม ดร.ยรรยง ย้ำว่า มาตรการกระตุ้นระยะสั้นอย่างคนละครึ่งนี้ยังไม่พอ โดยรัฐบาลยังควรต้องเร่งรัดการใช้จ่าย และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ฟื้นความเชื่อมั่นต่างๆ พร้อมกับวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
“ผมว่าทำได้หลายเรื่องครับ ถึงแม้จะอยู่แค่ 4+4 เดือน เพราะว่า 4 เดือนแรกภาครัฐสามารถเร่งออกมาตรการใหม่ๆ ขณะที่ 4 เดือนที่เหลือสามารถดำเนินการตามมาตรการเหล่านั้นได้”
นอกจากนี้ SCB EIC ยังแนะว่า รัฐบาลใหม่ควรเน้นนโยบายเศรษฐกิจ 3 ด้าน (3S) ได้แก่
- Stabilize เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น เน้นเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกและการผลักดันที่มีประสิทธิภาพ
- Stimulate เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ควบคู่กับการผ่อนคลายภาวะการเงินที่ตึงตัว ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย การใช้กลไกค้ำประกันสินเชื่อ และการดูแลค่าเงินบาท
- Structural Reform ยกระดับนโยบายภาครัฐเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค การจัดหาตลาดใหม่ และการผลักดัน Green investment ตลอดจนการวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ผ่านวางกรอบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมสำหรับอนาคต การพัฒนาทักษะของแรงงาน และการปฏิรูปการคลัง
ด้านนโยบายการเงิน SCB EIC มอง กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้เหลือ 1.25% และอีก 1 ครั้งต้นปีหน้าเหลือ 1% เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงิน ช่วยลดภาระหนี้และความเสี่ยงเครดิต