ประเทศไทยเดินหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วยการเปิดตัวความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ด้านการดำเนินการเป้าหมาย SDGs ระดับพื้นที่
โดยความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยใน โครงการ ‘การเสริมสร้างความเข้มแข็งการขับเคลื่อน SDGs ระดับพื้นที่ในประเทศไทย’ ตั้งเป้าสนับสนุนภาครัฐระดับจังหวัดและพื้นที่ให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านการพัฒนา สร้างฐานข้อมูลที่ดีขึ้น จัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องเป้าหมาย SDGs และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการพัฒนาระดับท้องถิ่น
ผู้ว่าราชการ รองผู้ว่าราชการ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดจาก 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก กรุงเทพฯ นราธิวาส หนองคาย ระยอง และสระแก้ว ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ระดับพื้นที่ในประเด็นต่างๆ เช่น การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน อากาศสะอาด ความเข้มแข็งของชุมชน และการพัฒนาฐานข้อมูลที่คำนึงถึงมิติความเท่าเทียมทางเพศ โดยมีผู้แทนจากสหภาพยุโรป UNDP และผู้แทนภาครัฐและเอกชนกว่า 200 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ข้อมูล SDGs ระดับประเทศสะท้อนว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความก้าวหน้าที่โดดเด่นในการลดความยากจน โดยผลการดำเนินงานในเป้าหมาย SDG ข้อที่หนึ่ง: ‘ขจัดความยากจน’ มีอัตราการพัฒนาที่จะบรรลุเป้าหมายปี 2030 อย่างไรก็ตาม จากรายงานความก้าวหน้าของดำเนินการเป้าหมาย SDGs ระดับจังหวัด (SDG Profile) ฉบับแรกที่จัดทำขึ้นด้วยการสนับสนุนจาก EU และ UNDP ตั้งแต่ปี 2023 พบว่าทุกคนยังไม่ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้านี้ และแต่ละภูมิภาคเผชิญความท้าทายที่แตกต่างกัน การเร่งความก้าวหน้าของการบรรลุเป้าหมาย SDGs จึงจำเป็นต้องมองมุ่งเน้นการดำเนินการเฉพาะพื้นที่ ที่มีบริบทเฉพาะซ่อนอยู่ภายใต้ค่าเฉลี่ยระดับชาติ
ภาพรวม SDG Profiles ของ 15 จังหวัด (กรุงเทพฯ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครราชสีมา นราธิวาส ปัตตานี เพชรบุรี ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี ตาก อุบลราชธานี อุดรธานี และยะลา) แสดงให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสสำคัญในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย
โดยที่ภาคเหนือเผชิญ ‘ช่องว่างด้านสาธารณสุขและมลพิษทางอากาศ’ (SDG 3, 13) จึงควรเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ ปรับปรุงคุณภาพอากาศ และส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (SDG 3, 8, 16) ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องรับมือ ‘การขาดแคลนน้ำและภัยพิบัติ’ (SDG 6, 13) โดยการขยายเกษตรกรรมที่เท่าทันต่อสภาพภูมิอากาศและเพิ่มการจัดการน้ำ (SDG 2, 13)
ส่วนภาคกลางเผชิญปัญหา ‘การขยายตัวของเมืองและมลพิษ’ (SDG 11, 12) จึงควรปรับปรุงผังเมือง การจัดการขยะ และดึงภาคเอกชนร่วมสร้างธุรกิจยั่งยืน (SDG 9, 11, 12) ขณะที่ภาคใต้ได้รับผลกระทบจาก ‘ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศต่อการดำรงชีวิตและการจ้างงาน’ (SDG 8, 13) จึงควรลงทุนในความพร้อมรับภัยพิบัติ เสริมสร้างการค้าชายแดนและความเชื่อมแน่นทางสังคม (SDG 11, 16)
ในภาคเหนือ นักปราชญ์ ไชยานนท์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า แผนพัฒนาเชียงใหม่มุ่งเน้น 3 ด้านหลักคือ
1) เศรษฐกิจ: ดึงดูดผู้มาเยือนสม่ำเสมอ เข้าถึงทุกอำเภอ ส่งเสริมเกษตรพื้นที่สูงและพัฒนาเมืองดิจิทัล
2) สังคม: ให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข งาน และที่ดินทำกิน พร้อมดูแลความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว
และ 3) สิ่งแวดล้อม: ผลักดันคาร์บอนเครดิตให้ชุมชนได้ประโยชน์ และประกาศเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขณะที่ ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ย้ำว่าทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน SDG และความร่วมมือนี้ทำให้ตัวเลขฝุ่นลดลงไม่ใช่เพราะโชค แต่เกิดจากการลงมือทำจริง
ชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตากต้องการยกระดับ GDP ทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ผลักดันจังหวัดตากสู่การเป็นเมืองนักวิ่ง
ในภาคตะวันออก กัฬชัย เทพวรชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง มุ่งเผยแพร่ความรู้เรื่อง SDGs ให้ทุกคนในจังหวัดเข้าใจและร่วมมือกัน ด้านพัชรี ศาลาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วเน้นยุทธศาสตร์สมาร์ทซิตี้ การค้าชายแดน และความมั่นคง
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปราณี วงศ์บุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย มองการใช้ศักยภาพของจังหวัดชายแดนติดลาวเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน โดยใช้ SDGs เป็นกรอบในการออกแบบการพัฒนา
และในภาคใต้ วีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมและความท้าทายของเมืองชายแดนที่ห่างไกลและมีปัญหาความมั่นคง รวมทั้งภัยพิบัติที่ทำให้ภาคเกษตรชะงักและติดกับดักความยากจน โดยมองว่า SDG ช่วยให้จังหวัดมีทิศทางพัฒนาที่ชัดเจน จังหวัดเรามีกลไกที่แปลกกว่าที่อื่นคือเรามีสภาพแสนสุขประจำตำบล เราคอยรับฟังเสียงจากชาวบ้าน ตั้งขึ้นมาเพื่อความมั่นคง และเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โครงการ ‘การเสริมสร้างความเข้มแข็งการขับเคลื่อน SDGs ระดับพื้นที่ในประเทศไทย’ ตั้งเป้าสนับสนุนภาครัฐระดับจังหวัดและพื้นที่ให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านการพัฒนา สร้างฐานข้อมูลที่ดีขึ้น จัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องเป้าหมาย SDGs และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการพัฒนาระดับท้องถิ่น
สันติธร ยิ้มละมัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวในพิธีเปิดการดำเนินงานระยะใหม่ของการขับเคลื่อน SDGs ระดับพื้นที่ว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคือ หัวใจสำคัญของการเดินหน้าพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ด้วยความร่วมมือกับโครงการ SDG Localisation ระยะที่สอง เราตอกย้ำความมุ่งมั่นของประเทศไทยที่จะเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ โดยการสนับสนุนผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่นให้มีเครื่องมือและศักยภาพในการขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยเร่งรัดความก้าวหน้าในประเทศ และยังเป็นแบบอย่างในระดับภูมิภาคด้านการเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน”
ขณะที่ ซาร่า เรโซอาญิ อุปทูตรักษาการสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยกล่าวว่า “สหภาพยุโรปมีความยินดีที่จะสานต่อการสนับสนุนการขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ระดับพื้นที่ในประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยและ UNDP ความร่วมมือนี้สะท้อนให้เห็นว่า การทำงานร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในระดับนานาชาติกับท้องถิ่นจะส่งเสริมให้ภาครัฐในระดับพื้นที่ของประเทศไทยขับเคลื่อนการดำเนินงานในระดับพื้นที่ได้อย่างเข้มแข็ง เพื่อสร้างประเทศไทยที่ยั่งยืนและครอบคลุมมากขึ้นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ทางด้าน นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยเน้นย้ำว่า “ก้าวใหม่ของความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรป กับ UNDP และประเทศไทยในครั้งนี้คือการเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกของเป้าหมาย SDGs ให้กลายเป็นการลงทุนด้าน SDGs ที่มุ่งไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราจะทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างข้อมูลท้องถิ่น ออกแบบโครงการบูรณาการ และสร้างสรรค์แนวทางด้านการเงินใหม่ๆ เพื่อให้ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาลงทุนในเป้าหมาย SDGs ของประเทศไทยได้สะดวกมากขึ้น”
ภาพ: UNDP ประเทศไทย
อ้างอิง: