วันนี้ (29 กันยายน) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) เป็นพิเศษ ที่มี มงคล สุระสัจจะ ประธานสมาชิกวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมในวาระพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ
พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ได้ลุกขึ้นอภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า รัฐบาลแถลงนโยบาย 4 ปี เหมือนจะขับเคลื่อนรัฐบาลไปอีก 4 ปี โดยเฉพาะ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 เป็นวงเงินรายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท ซึ่งสิ่งนี้นายกรัฐมนตรีจะใช้ได้คืองบกลาง การแถลงนโยบายกับการใช้งบเป็นคนละเรื่อง
ตนมองว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายของคนโกหกที่ไม่มีงบ และใน 4 เดือนที่จะยุบสภา รัฐบาลต้องเริ่มคิดว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ซึ่งในหลักความเป็นจริงกฎหมายจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคนเข้ามาไม่ซื่อสัตย์ และรัฐมนตรี 7-8 คนเป็นที่สงสัย มีความน่าห่วงใย จึงขอยกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ คือ เรื่องที่ดินเขากระโดง, ฮั้ว สว. และนโยบายกัญชา
ในส่วนที่ดินเขากระโดง ข้อเท็จจริงมีคำพิพากษาของศาลยุติธรรมและศาลปกครองจำนวน 9 ฉบับ ซึ่งได้ตัดสินว่าที่ดินเขากระโดงเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นการออกเอกสารสิทธิ์ทับ 5,083 ไร่ 80 ตารางวา แต่พบว่า ให้ผู้ถูกร้องดำเนินการตามมาตรา 61 ของกฎหมายที่ดิน ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กรมที่ดินตั้งกรรมการแต่ไม่ยอมทำตามศาลปกครองสั่งในการสำรวจแนวเขต กลับไปพิพากษาคดีใหม่ ทำให้มองได้ว่าเป็นการทำตามอำเภอใจ และอธิบดีกรมที่ดินได้สั่งยุติการสำรวจแนวเขตทั้งหมด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและมีที่ดิน ธุรกิจ และบ้านอยู่ในบริเวณเขากระโดง ต่อมาได้มีคณะกรรมการฯเข้ามาการหักล้างคำวินิจฉัย
จึงอยากฝากนายกรัฐมนตรีว่าคดีนี้กระทบต่อภาพรวม มีคนเข้ามาหาผลประโยชน์ บ่อนทำลายนิติธรรมนิติรัฐ ซึ่งคำพิพากษาเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า แต่ท่านกลับให้หน่วยงานไปตีความตามอำเภอใจ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม และละเลยรัฐธรรมนูญ
พ.ต.อ.ทวี ยังกล่าวถึงกรณีกระบวนการได้มาซึ่ง สว. หรือ ฮั้ว สว. ที่กระทบต่อ มงคล สุระสัจจะ ประธานสภา ที่ตนยืนยันว่า ไม่มีอคติ แต่เชื่อว่ากระทบต่อการบริหาร และการแต่งตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งคดีดังกล่าวยังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นอกจากนี้ยังมีคนที่อยู่ใน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีความผิดฐานอั้งยี่ ซึ่งในจำนวน 229 คนที่เข้าข่าย อาจจะมีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่ต้องให้ความเคารพ จึงอยากจะฝากท่านที่มีเวลา 4 เดือน ว่าเรื่องนี้เป็นมหันตภัย รวมถึงเรื่องของกัญชาที่เป็นตราบาปของประเทศไทย
สนอง เทพอักษรณรงค์ สส. บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า เรื่องดังกล่าวคนทั่วไปก็ทราบกันดีแล้ว จากผู้ที่ฟ้องทั้ง 35 ราย กรมที่ดินได้เพิกถอนที่ดินไปแล้ว ส่วนการรถไฟฯ ก็จะดำเนินคดีเป็นรายบุคคล ซึ่งปล่อยให้ศาลพิจารณาไป ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่กำลังอภิปรายอยู่ จึงขอให้ยุติเรื่องนี้
กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส. นราธิวาส พรรคประชาชาติ ลุกขึ้นประท้วงว่า ขณะนี้เป็นการประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งมีข้อบังคับข้อ 47 ระบุว่า หากสมาชิกรัฐสภาประสงค์จะประท้วง ต้องยืนขึ้นและยกมือ พร้อมทั้งอ้างข้อบังคับที่ผู้กำลังอภิปรายฝ่าฝืน หากไม่มีการอ้างข้อบังคับชัดเจน ก็ขอให้ประธานวินิจฉัยด้วย
แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส. อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ยังไม่มีการวินิจฉัยในประเด็นที่สนองประท้วง สิ่งสำคัญที่สุดคือการอภิปรายต้องอยู่ในกรอบวาระการประชุมวันนี้ คือ การแถลงนโยบายของรัฐบาล หากสมาชิกมีข้อเสนอ ติติง หรือแนะนำ ควรยึดตามวาระ ส่วนเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องในอดีต ไม่ควรนำมาอภิปราย
กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งเรื่องเขากระโดงหรือคดีฮั้ว สว. สมาชิกได้อภิปรายไปหลายครั้งแล้ว จึงขอประท้วงตามข้อบังคับ 151 ที่กำหนดให้อภิปรายต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ประชุม ซึ่งคำวินิจฉัยของประธานถือเป็นที่สุด ที่ผ่านมาไม่ได้ลุกขึ้นเพราะมีเพื่อนสมาชิกประท้วงแล้ว ประธานก็ได้วินิจฉัยว่า ประเด็นที่อภิปรายต้องจำกัดอยู่ในกรอบการแถลงนโยบาย ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ อีกทั้งเรื่องทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ในรัฐบาลชุดก่อน ตนเองเพิ่งเป็นฝ่ายค้านมา 2 เดือน ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินใดๆ ส่วนที่นายกรัฐมนตรีระบุเรื่องหลักนิติธรรมในคำแถลงนโยบาย ก็เพื่อป้องกันไม่ให้การใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ทางการเมืองเกิดขึ้นซ้ำอีก
จากนั้น อดิศร เพียงเกษ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวโต้ว่า ประเด็นที่ถกเถียงเกี่ยวข้องกับตัวประธานโดยตรง หากจะอภิปรายเรื่องฮั้วสว. ประธานไม่ควรนั่งทำหน้าที่ เพราะไม่เป็นกลาง และจะทำให้ประชุมไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ จึงขอให้วันมูหะมัดนอร์ มะทา มาทำหน้าที่แทน
นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นประท้วงว่า ผู้อภิปรายกำลังเชื่อมโยงกับนโยบายที่รัฐบาลแถลงว่าจะดำเนินการภายใต้หลักนิติธรรม ซึ่งมีความจำเป็นต้องกล่าวถึง เพราะบุคคลที่ถูกพาดพิงมีชื่อในคดีฮั้ว สว. ด้วย หากผู้ประท้วงร้อนตัวเพราะมีส่วนเกี่ยวข้อง และร้องขอให้ประธานวินิจฉัยอย่างเป็นกลาง
แนน บุณย์ธิดา สมชัย ย้ำอีกครั้งว่า ขอประท้วงการกำกับการประชุมของประธาน และเห็นว่าการวินิจฉัยต้องเด็ดขาด
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นหารือว่า บรรยากาศเริ่มดุเดือด แต่ในสาระสำคัญ คำแถลงนโยบายข้อ 9 ระบุถึง การยึดหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ซึ่งสังคมภายนอกก็จับตามองทั้ง 2 กรณีนี้อยู่ จึงควรเปิดโอกาสให้อภิปรายได้ และให้นายกฯ หรือผู้เกี่ยวข้องลุกขึ้นชี้แจงว่ามีหลักประกันใดที่จะทำให้มั่นใจว่า จะไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หากเปิดใจกว้างและอดทนฟัง จะทำให้การประชุมดำเนินไปอย่างราบรื่น
จากนั้น ทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า จากการฟังพ.ต.อ. ทวี ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พูดถึงเรื่องที่จะทำให้พี่น้องประชาชน หรือแม้แต่ สส. เอง อาจจะฟังแล้วมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และทำให้เสียหาย โดยย้ำว่า หากเป็นที่หลวงจริง การจะไปครอบครอง ปรปักษ์ต่อเนื่อง กี่พันปี ก็เป็นเจ้าของไม่ได้
แต่มีการอ้างถึงเป็นที่พระราชทานให้กับการรถไฟ แล้วถือว่าการรถไฟเป็นเจ้าของมาตั้งแต่พ.ศ. 2462 ต้องมีการสำรวจและต่อเนื่องมาจนถึงมีการแจ้ง ส.ค. 1 ในปี พ.ศ. 2498 หลังมีประมวลกฎหมายที่ดิน และมีข้อพิพาทแก่จำเลย ในที่สุดมีคำพิพากษา เรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญ เพราะคนที่พูดเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งการพูดและการแสดงออก ใครต้องพูดให้ครบ แต่ถ้าพูดไม่ครบ คนที่ฟังจะเกิดความสับสน และอาจเข้าใจไปในแนวทางที่พูดว่าเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว ต้องทำตามคำสั่งของศาล ตนเองก็เห็นด้วย
แต่ต้องดูว่าคดีความที่เกิดขึ้นนั้น มี 3 คดี ที่ศาลตัดสินพิพากษาไปแล้ว แต่ไม่มีคดีไหนเลยที่ศาลตัดสินให้เป็นที่ของการรถไฟ เพราะคนที่ไปฟ้องคดี เขาตัดสินสืบเนื่องจากคนมีที่ดินที่เป็น ส.ค. หรือ น. ส.3 ออกโฉนดไปฟ้องศาล ขอให้ศาลสั่งให้กรมที่ดินในจังหวัด ออกโฉนดให้ และการรถไฟก็ไปคัดค้าน และศาลตัดสินว่าที่ดินดังกล่าว ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ ประเด็นมีอยู่แค่นี้ แต่เมื่อนำไปพูดในสื่อ และการพูดเมื่อสักครู่สมาชิกหลายท่านเข้าใจว่าศาลตัดสิน และกรมที่ดินไม่ดำเนินการอะไร แต่ความจริงแล้ว กรมที่ดินดำเนินการหมดแล้วเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลทุกประการ
ทรงศักดิ์ กล่าวว่า เขากระโดงทุกคดีกรมที่ดินได้ดำเนินการเพิกถอนเป็นไปตามคำสั่งของศาลเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าศาลตัดสินให้ที่ดินทั้งหมดเป็นที่ของการรถไฟ ย้ำว่า ไม่มี ส่วนเรื่องการดำเนินการตามมาตรา 61 เป็นเรื่องการเพิกถอน ซึ่งมีหลายวรรค หากเป็นวรรค 8 จะเป็นการเพิกถอนคำสั่งที่ดินที่มีโฉนดมีกรรมสิทธิ์ ซึ่งสามารถเพิกถอนได้
ส่วนเรื่องอื่นๆ ศาลสั่งให้มีการเพิกถอน สั่งให้อธิบดีกรมที่ดินไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรค 2 ที่มีการพิพาทกัน ทั้งหมดนี้สามารถเพิกถอนได้หรือไม่ ก็ดำเนินการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา แล้วตามกฎหมาย ไม่สามารถตั้งคนอื่นได้ ซึ่งที่ทราบมาไม่สามารถชี้แนะได้อย่างชัดเจน และการขอให้การรถไฟแสดงการได้มาซึ่งที่ดินของการรถไฟ ซึ่งการได้มาซึ่งที่ดิน ไม่เหมือนประชาชน มีกฎหมายเฉพาะ มีพระราชกฤษฎีกาจัดวางรางและทางหลวง ไม่มีกฎหมายเรื่องการครอบครอง เพราะการครอบครองเป็นเรื่องของประชาชนการรถไฟจะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินอะไรจะต้องได้มาตามพระราชกฤษฎีกา
ทรงศักดิ์ กล่าวย้ำว่า ทุกอย่างยังอยู่ในกระบวนการ ตนเองพ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยก็เห็นว่ามีการแถลงข่าวมีภูมิธรรม เวชชัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดชอิศม์ ขาวทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งคณะกรรมการอะไรก็ไม่ทราบ ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับ และบอกว่าให้มีการเพิกถอนโฉนดต่าง ๆ ที่อยู่ในที่ดิน 995 แปลง 5,083 ไร่เศษ ที่บอกว่าจะถอนทันที จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นมีการเพิกถอน พร้อมย้ำว่า ขอให้กรมที่ดินดำเนินการไปตามกฏหมายต่อไป