เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 มีรายงานข่าวการจากไปอย่างสงบของ สุจินดา เชิดชัย หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ เจ๊เกียว นักธุรกิจหญิงแกร่งแห่งเมืองโคราช สิริอายุ 88 ปี ท่ามกลางความอาลัยของคนในแวดวงธุรกิจและสังคมไทย
สำหรับเส้นทางชีวิตและอาณาจักรธุรกิจ เจ๊เกียวเกิดและเติบโตในจังหวัดนครราชสีมา แม้จะเรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แต่เธอเป็นผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ไกล เริ่มต้นจากการทำงานเคียงข้างสามี วิชัย เชิดชัย เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุกในโคราช ก่อนจะขยายกิจการเข้าสู่ธุรกิจขนส่งผู้โดยสาร
โดยได้ก่อตั้ง ‘เชิดชัยทัวร์’ บริษัทรถโดยสารประจำทางที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนมีรถโดยสารกว่า 1,200 คัน ภายใต้สัมปทานจากบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ให้บริการเส้นทางระยะไกลทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน รวมถึงเส้นทางยอดนิยมระหว่างกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ทำให้เชิดชัยทัวร์กลายเป็นชื่อที่คุ้นหูคนไทยหลายรุ่น
ไม่เพียงแต่ธุรกิจเดินรถโดยสาร เชิดชัยทัวร์ยังต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ โรงงานผลิตและประกอบรถโดยสาร การจำหน่ายรถยนต์และอะไหล่ รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สร้างอาณาจักรที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท และมีพนักงานมากกว่า 3,000 คน ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจขนส่งเอกชนรายใหญ่ของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2562 เชิดชัยทัวร์เริ่มประสบปัญหาขาดทุนสะสม โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิดระบาด ธุรกิจได้รับผลกระทบหนักจากการหยุดเดินทาง บวกกับราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนพุ่งตามไปด้วย เจ๊เกียวจึงประกาศว่าอาจต้องปิดกิจการ หรือหากมีผู้สนใจซื้อก็พร้อมเจรจา โดยยอมรับว่าตนเองก็ ‘เหนื่อย’ กับการดูแลกิจการที่สร้างมากว่า 65 ปี
ตลอดเส้นทางชีวิต เจ๊เกียวยังมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสาร ทั้งตำแหน่ง นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารแห่งประเทศไทย และ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ (รถร่วม บขส.) ซึ่งได้รับหน้าที่เป็นผู้แทนเจรจากับภาครัฐในหลายวาระ โดยเฉพาะประเด็นการปรับค่าโดยสารตามราคาน้ำมัน ซึ่งสะท้อนบทบาทการเป็นปากเสียงให้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศ
เรียกได้ว่าการจากไปของเจ๊เกียว นับเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญในวงการธุรกิจไทย เธอคือตัวอย่างของผู้หญิงนักสู้ที่สร้างธุรกิจจากศูนย์จนกลายเป็นอาณาจักรพันล้าน แม้ธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายในบั้นปลาย แต่ชื่อเสียงของ ‘เชิดชัยทัวร์’ และภาพลักษณ์ของ ‘เจ๊เกียว’ ในฐานะเจ้าแม่รถทัวร์ ก็จะยังคงอยู่ในความทรงจำของสังคมไทยต่อไป