ประเด็นสำคัญ
หุ้นและทองคำ ในทางทฤษฎีถือเป็นสินทรัพย์ ‘ขั้วตรงข้าม’ โดยทั่วไปแล้วราคาของหุ้นและทองคำมักไม่ค่อยวิ่งขึ้นหรือวิ่งลงพร้อมๆ กัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสถานการณ์ที่ทั้งราคาหุ้นและราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่พร้อมๆ กัน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ช่วงปี 2024 – 2025 ที่ผ่านมา ราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) และดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Asset) ต่างพากันทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All-Time High) ในช่วงวันเดียวกัน จำนวนมากกว่า 10 ครั้ง
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้กำลังสะท้อนอะไร ในโลกของการเงินและการลงทุน
หุ้น – ทองคำ นิวไฮวันเดียวกันกว่า 10 ครั้ง
หนึ่งในสถิติที่น่าสนใจจากบทความของ Forbes ระบุว่า ในปีนี้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นแล้วถึง 44% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 14% โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทั้งสองสินทรัพย์ได้ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดใหม่พร้อมกัน ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วถึง 6 ครั้งในปี 2025 และ 10 ครั้งในปี 2024
ตัวเลขดังกล่าวอาจดูไม่น่าแปลกใจนัก แต่เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ในช่วง 54 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 1970 – 2023 พบว่าเหตุการณ์ที่ทองคำและหุ้นทำ All-Time High ในวันเดียวกันเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งทั้งสองครั้งเกิดขึ้นในปี 1972 หลังจากที่ ริชาร์ด นิกสัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้น ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ หรือที่รับรู้กันในวงกว้างว่าเป็นจุดสิ้นสุดของมาตรฐานทองคำ (Gold Standard)
เบื้องหลังของราคาที่ร้อนแรง
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ไปที่ปัจจัยร่วมที่สำคัญ นั่นคือ การอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงของเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ (US Dollar Index) อ่อนค่าลงแล้วถึง 10% ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003
การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์มักจะเป็นปัจจัยบวกต่อทั้งราคาทองคำและราคาหุ้น ในกรณีของทองคำ เนื่องจากทองคำซื้อขายในสกุลดอลลาร์ การที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าก็ทำให้หุ้นสหรัฐฯ มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน
มาร์โค พาพิช หัวหน้านักกลยุทธ์ของ BCA Research กล่าวว่า “คำตอบคือดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังถูกเทขาย” เขาอธิบายว่าแนวคิด ‘American Exceptionalism’ หรือความเชื่อที่ว่าสินทรัพย์ของสหรัฐฯ จะทำผลงานได้ดีกว่าที่อื่นเสมอ กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในยุคโควิด-19 หมดลง และความตึงเครียดทางการค้าได้บีบให้ภูมิภาคอื่นๆ ต้องหันมากระตุ้นเศรษฐกิจของตนเอง
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ของทองคำกับหุ้นไม่ได้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งตลอดเวลา บางช่วงอาจตรงข้ามกัน แต่บางช่วงที่สภาพคล่องสูง เงินดอลลาร์อ่อนค่า ทองคำกับหุ้นก็อาจจะพุ่งขึ้นพร้อมกัน
“หากมอง Real Bond Yield อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ปัจจุบันที่ 1.7% ถือว่ายังไม่ต่ำมากนัก และถ้ามองความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์เงินก็ไม่ควรจะไหลเข้าหุ้น เพราะฉะนั้นคงจะเหลือเหตุผลเดียวคือ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าต่อเนื่อง”
ณัฐชาตกล่าวต่อว่า สุดท้ายแล้วจะต้องมีสินทรัพย์หนึ่ง ‘ถูกหรือผิด’ แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าให้ฟันธงในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า ทองคำน่าจะปลอดภัยกว่า ด้วยภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากสัญญาณเตือนจากตลาดแรงงานที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
“ช่วงกลางวัฏจักรของดอกเบี้ยขาลงแบบนี้ การลดดอกเบี้ยเป็นยาบรรเทาชั่วคราว หลังจากนั้นจะเริ่มมีน้ำหนักลดลง และตลาดจะเริ่มให้น้ำหนักกับเศรษฐกิจที่เสื่อมถอย บนสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ถ้าเกิดขึ้นในอดีตหุ้นสหรัฐฯ คงจะย่อลงมาแล้ว แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่ามี Use Cases จาก AI เข้ามาช่วย ทำให้หุ้นที่อิงกับ AI ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ช่วยพยุงตลาดให้ขึ้นต่อ แต่สุดท้ายถ้ากำไรของหุ้นกลุ่มนี้โตต่อไม่ได้ หุ้นสหรัฐฯ จะมีความเสี่ยงมากขึ้น”
โดยปกติแล้ว ณ กลางวัฏจักรที่ดอกเบี้ยยังลดลงไม่สุด มักจะมาพร้อมกับตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงมากกว่าขึ้น แต่ครั้งนี้ความรุนแรงจะมากหรือน้อย ขึ้นกับว่าเศรษฐกิจและกำไรของหุ้นเป็นอย่างไรหลังจากนี้
บทเรียนจากยุค 70s
บทความจาก Forbes ระบุว่า ปีเตอร์ คอรีย์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Pave Finance ได้ชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงที่น่ากังวลกับช่วงต้นทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่เกิดปรากฏการณ์นี้
ช่วงปี 1970 – 1972 ภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น และทำให้ทั้งหุ้นและทองคำปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดในปี 1972
หลังจากนั้นในปี 1973 เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นสองเท่าภายในเวลาเพียงหนึ่งปี ส่งผลให้ ดัชนี S&P 500 สูญเสียมูลค่าไปถึงครึ่งหนึ่ง
คอรีย์เตือนว่า หากเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ตลาดในปัจจุบันอาจเผชิญกับชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน “นักลงทุนในปัจจุบันจะอ่อนไหวต่อการตัดสินใจของ Fed มากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้ว”
ภาพ: Caspar Benson/Getty Images
อ้างอิง: