×

ภาคตลาดทุน จับตานโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ หวังได้รัฐบาลที่เข้าใจตลาดทุน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจภาพใหญ่

05.09.2025
  • LOADING...
set-political-instability-impact

 

ปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองกำลังร้อนแรงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในวันนี้ (5 กันยายน) มีวาระร้อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี หลังพรรคแกนนำฝ่ายค้านมีมติจะโหวตสนับสนุน ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขณะที่เพื่อไทยเองก็ออกแถลงการณ์สนับสนุน ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ เป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศว่าหากชัยเกษมได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจะยุบสภาทันที หลังยื่นเรื่องยุบสภาไม่สำเร็จ ไปฟังความเห็นจากผู้บริหารในภาคตลาดทุนต่อปัจจัยการเมืองจะมีผลกระทบอย่างไร

 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยเป็นอย่างดี ดังนั้นความผันผวนที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเขา และไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากพวกเขายังคงเน้นการลงทุนบนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก

 

แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะสร้างความกังวล แต่เศรษฐกิจไทยยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้ด้วยภาคเอกชนที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากมีบริษัทขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ การที่ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจแม้จะมีความผันผวนทางการเมืองเป็นผลมาจากสองปัจจัยหลัก แต่มองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจจาก 2 ปัจจัย คือ

 

  1. เศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพที่น่าสนใจ
  2. มูลค่า (Valuation) ของหลายบริษัทอยู่ในระดับที่น่าดึงดูด และยังมีโอกาสในการเติบโตหรือจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้นไปแล้ว

 

หวังทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่มีความสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

 

ด้านดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลท. ย้ำถึงปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังคือ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภาครัฐควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันและเตรียมพร้อมสำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณปีหน้า เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรับมือโดยเฉพาะภาคส่งออกของไทยที่มีความเสี่ยงเห็นการชะลอตัว

 

ในประเด็นเรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 17 กันยายน ดร. ศรพล มองว่าตลาดหุ้นได้ Price In ข่าวนี้ไปพอสมควรแล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งต่อไปนั้นต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง

 

ภาพ: บรรยากาศงานแถลงข่าว ‘สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนสิงหาคม 2568’ โดยผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

บรรยากาศงานแถลงข่าว ‘สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนสิงหาคม 2568’ โดยผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

ในมุมมองของ ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลท การมีทีมเศรษฐกิจที่มีความเข้าใจในภาคตลาดทุนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะตลาดทุนมีเครื่องมือหลายอย่างที่สามารถช่วยขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ข้อจำกัดด้านงบประมาณมีสูง

 

ตัวอย่างที่สำคัญคือการใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ในการระดมทุนจากภาคเอกชนเพื่อมาใช้สำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านงบประมาณและหนี้สาธารณะของประเทศได้ หากรัฐมนตรีคลังและทีมเศรษฐกิจมีความรู้ความเข้าใจในกลไกเหล่านี้ ก็จะสามารถนำเครื่องมือนี้มาใช้เป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ด้านอัสสเดช กล่าวเสริมต่อว่า ประเด็นสำคัญที่สุดคือ การมีทีมเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมในระยะกลางถึงยาวได้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องของตลาดทุนเพียงอย่างเดียว หากเศรษฐกิจโดยรวมมีการเติบโตที่สูงขึ้นและยั่งยืนขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุนในภาพรวมอย่างแน่นอน

 

อย่างไรก็ดี ตลท. มีแผนที่จะเดินหน้าโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม เช่น โครงการ Jump+ ที่มีบริษัทเข้าร่วมแล้วกว่า 35 บริษัทในระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของโครงการ และพร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลให้แก่รัฐบาลใหม่เพื่อขอการสนับสนุน

 

ในขณะที่โครงการ G-Token ยังคงต้องรอนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐ ตลท. ยังคงเดินหน้าโครงการ B-Connect และความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุนไทย

 

มีกลไกพร้อมรับมือความผันผวนในตลาดหุ้นจากผลกระทบโหวตนายกฯ

 

อัสสเดช กล่าวถึงแนวทางการรับมือความผันผวน หากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันนี้ (5 กันยายน) หากไม่สำเร็จและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น โดยระบุว่า ตลท. มีกลไกการทำงานเพื่อรับมืออยู่แล้ว เช่น Circuit Breaker ที่จะเข้ามาควบคุมสถานการณ์เมื่อดัชนีมีการปรับตัวลดลงในระดับที่กำหนด และโดยปกติแล้วการเมืองในอดีตก็ไม่ค่อยมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ

 

‘ไพบูลย์’ หวังได้ รมว. คลังคนใหม่ที่มีความเข้าใจภาคตลาดทุน

 

ด้านไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ระบุว่า หลังจากการประชุมของพรรคประชาชนที่มีมติสนับสนุนอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทยให้เป็นนายกรัฐมนตรี

 

“ผมก็คิดว่าสุดท้ายก็คือการเดินสู่การยุบสภา แค่ว่ายุบวันนี้ หรือยุบอีก 4-5 เดือน” ไพบูลย์กล่าว โดยให้เหตุผลว่า แม้ในมุมของตลาดทุน ผลลัพธ์สุดท้ายจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก”

 

อย่างไรก็ดีในช่วงที่การเมืองยังคงมีความไม่แน่นอนเช่นนี้ ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะ Sideway และรอความชัดเจน ต่างชาติยังคงจับตาดูและรอความหวังว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่จะนำมาซึ่งรัฐบาลที่ดีกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับตัวลงอย่างรุนแรง

 

อีกประเด็นสำคัญที่น่าจับตาคือ นโยบายเกี่ยวกับตลาดทุน ที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ไพบูลย์ยอมรับว่าที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังจากพรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนตลาดทุนอย่างเต็มที่ ทั้งการผลักดันกองทุนไทย ESG และมาตรการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ หากรัฐบาลใหม่ไม่มีบุคคลที่เข้าใจและสนับสนุนตลาดทุน การผลักดันมาตรการที่สำคัญต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ได้เสนอไปก็อาจจะชะลอตัวลง

 

ภาพ: ด้านไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้

ด้านไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้

 

“ก็ต้องหวังว่าเราจะได้รัฐมนตรีคลังที่เข้าใจตลาดทุน ซึ่งจะทำให้การผลักดันมาตรการต่าง ๆ ที่ฝั่งตลาดทุนเข้าไปแล้วได้รับการพิจารณาและตอบรับในเชิงบวก” ไพบูลย์กล่าว

 

ส่วนประเด็นข่าวที่ว่าอนุทินเตรียมรัฐมนตรีคลังคนนอกไว้แล้ว ไพบูลย์มองว่า แม้จะมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ แต่รัฐบาลที่มีอายุเพียง 4-5 เดือนก็อาจไม่สามารถทำอะไรที่สำคัญได้มากนัก เนื่องจากงบประมาณได้ผ่านสภาไปแล้ว การจะเริ่มโครงการใหม่ ๆ หรือเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทำให้ตลาดหุ้นน่าจะมองข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อรอความชัดเจนที่แท้จริง

 

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่เกณฑ์ ‘ร้อนแรง’

 

ดร กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2568 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-31 สิงหาคม 2568) พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ที่ระดับ 120.22 นักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

 

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

 

ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

 

  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน
  • ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ

 

ทั้งนี้ตลอดเดือนสิงหาคม 2568 ดัชนี SET เคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันทั้งจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ จากกรณีคลิปเสียงหลุดกับฮุน เซนของกัมพูชา

 

อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหนุนจากการที่ กนง. มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน โดย SET Index ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 ปิดที่ 1,236.61 ปรับตัวลดลง 0.46% จากเดือนก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 21,816 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิรวม 84,384 ล้านบาท

 

ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ นโยบายการเงินและการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED และทิศทางการเจรจาการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-จีน หลังตกลงขยายเวลาชะลอภาษีไปอีก 90 วัน ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองไทยในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย การเบิกจ่ายงบประมาณ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผลการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อ “คดีชั้น 14” ของ ทักษิณ ชินวัตร และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising