โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 สิงหาคม) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าถือหุ้น 10% ใน Intel Corp. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ ภายใต้ข้อตกลงที่แปลงเงินช่วยเหลือจากภาครัฐให้กลายเป็นสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งนับเป็นการแทรกแซงกิจการภาคเอกชนครั้งใหญ่อีกครั้งของรัฐบาล
ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างทรัมป์และ ลิป-บู ตัน CEO ของ Intel โดยทรัมป์เคยเรียกร้องให้เขาลาออกจากตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผลลัพธ์ล่าสุดกลับกลายเป็นการที่รัฐบาลเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อรับประกันว่า Intel จะได้รับเงินทุนสนับสนุนราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับการสร้างและขยายโรงงานผลิตชิปในสหรัฐอเมริกา
เจาะลึกดีลประวัติศาสตร์ แปลงเงินช่วยเหลือเป็นหุ้น
ภายใต้ข้อตกลงนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 9.9% ใน Intel คิดเป็นมูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ หรือในราคา 20.47 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่มีส่วนลดประมาณ 4 ดอลลาร์จากราคาปิดของหุ้น Intel ที่ 24.80 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์
ที่น่าสนใจคือ แหล่งเงินทุนที่ใช้ในการซื้อหุ้นครั้งนี้มาจากการ แปลงเงินช่วยเหลือ (Grants) ที่ยังไม่ได้รับการชำระ จากกฎหมาย CHIPS Act ในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์ และเงินช่วยเหลือสำหรับโครงการ Secure Enclave อีก 3.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสถานะจากเงินให้เปล่ามาเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น
หลังข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ราคาหุ้น Intel ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ หลังจากที่ปิดบวกไปแล้ว 5.5% ในช่วงเวลาซื้อขายปกติ
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งยืนยันว่า ทรัมป์ได้เข้าพบกับ ลิป-บู ตัน เมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นการประชุมที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์เคยเรียกร้องให้ตันลาออกเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลเรื่องความสัมพันธ์ของตันกับบริษัทในจีน
ทรัมป์ได้กล่าวถึงผลลัพธ์ของการเจรจาในสไตล์ของตนเองว่า “เขา (ตัน) เดินเข้ามาโดยต้องการจะรักษางานของเขาไว้ และสุดท้ายเขาก็ยอมมอบเงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับสหรัฐอเมริกา ดังนั้นเราจึงได้เงินมา 1 หมื่นล้านดอลลาร์”
ด้าน โฮเวิร์ด ลุทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า ตันได้บรรลุข้อตกลงที่ “ยุติธรรมต่อ Intel และยุติธรรมต่อประชาชนชาวอเมริกัน”
การเข้าถือหุ้นใน Intel ครั้งนี้ถือเป็นดีลที่ไม่ธรรมดาครั้งล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้มีกรณีที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น ข้อตกลงที่อนุญาตให้ Nvidia ขายชิป AI รุ่น H20 ให้กับจีน แลกกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ 15% หรือการที่กระทรวงกลาโหมเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในบริษัทเหมืองแร่ MP Materials เพื่อเพิ่มการผลิตแม่เหล็กแร่หายาก
รวมทั้งการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับ หุ้นบุริมสิทธิ (Golden Share) ซึ่งให้สิทธิวีโต้บางอย่าง เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่อนุญาตให้ Nippon Steel ของญี่ปุ่นเข้าซื้อ U.S. Steel
การแทรกแซงกิจการภาคเอกชนในวงกว้างของรัฐบาลได้สร้างความกังวลให้กับนักวิจารณ์ โดยมองว่าการกระทำของทรัมป์กำลังสร้างความเสี่ยงประเภทใหม่ให้กับภาคธุรกิจ
ภารกิจกอบกู้ Intel เงินทุนอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
การเข้ามาของรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank จากญี่ปุ่นที่ตกลงเข้าถือหุ้น 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นในขณะที่ Intel กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก
แดเนียล มอร์แกน ผู้จัดการพอร์ตอาวุโสของ Synovus Trust ให้ความเห็นว่า ปัญหาของ Intel นั้นใหญ่เกินกว่าแค่การอัดฉีดเงินสด โดยชี้ไปที่ธุรกิจรับจ้างผลิตชิป (Foundry) ของ Intel
“หากปราศจากการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือพันธมิตรที่แข็งแกร่งทางการเงินกว่านี้ มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับหน่วยธุรกิจ Foundry ของ Intel ที่จะระดมทุนเพียงพอเพื่อสร้างโรงงานใหม่ๆ ในอัตราที่เหมาะสม Intel จำเป็นต้องไล่ตาม TSMC ให้ทันในเชิงเทคโนโลยีเพื่อดึงดูดธุรกิจ” มอร์แกนกล่าว
Intel ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งวงการชิปของอเมริกา เพิ่งรายงานผลขาดทุนประจำปี 2567 ถึง 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขาดทุนครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2529 โดยบริษัทได้สูญเสียตลาด AI ให้กับ Nvidia และสูญเสียส่วนแบ่งตลาด CPU ให้กับ AMD มาเป็นเวลาหลายปี
Intel ระบุว่าการถือหุ้นของรัฐบาลจะเป็นการถือครองแบบ Passive Ownership โดยไม่มีที่นั่งในคณะกรรมการ และรัฐบาลจะต้องลงคะแนนตามมติของบอร์ดบริหารเป็นหลัก นอกจากนี้ ข้อตกลงยังรวมถึงวอร์แรนต์ (Warrant) อายุ 5 ปี ที่จะให้สิทธิ์รัฐบาลซื้อหุ้นเพิ่มได้อีก 5% ในราคา 20 ดอลลาร์ต่อหุ้น หาก Intel สูญเสียการควบคุมในธุรกิจ Foundry
แม้การสนับสนุนจากรัฐบาลจะช่วยให้ Intel มีเวลาหายใจเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จในการกลับมาทวงบัลลังก์เจ้าแห่งวงการชิปของ Intel จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขันทางเทคโนโลยีเป็นสำคัญ
อ้างอิง: