สำนักข่าว Al Jazeera รายงานว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เตรียมร่วมประชุมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันพรุ่งนี้ตามเวลาท้องถิ่น (18 สิงหาคม) เพื่อหารือถึงแนวทางในการยุติสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่กินเวลามากว่า 3 ปี
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังทรัมป์ได้ร่วมหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ที่รัฐอะแลสกา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าผลลัพธ์การประชุมเป็นไปในทิศทางบวก แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสองประเทศได้
ทรัมป์ เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ของตน หลังสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมกับผู้นำยุโรปและชาติสมาชิก NATO ว่า การประชุมร่วมกับปูตินเมื่อวันศุกร์ (15 สิงหาคม) เป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง และ “ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องกันว่า หนทางที่ดีที่สุดในการยุติสงครามอันเลวร้ายระหว่างรัสเซียและยูเครน คือการบรรลุข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งจะทำให้สงครามสงบลงได้ ไม่ใช่แค่ข้อตกลงหยุดยิงที่มักจะไม่ได้ผล”
ด้านปูตินกล่าวว่า การเจรจาระหว่างตนและทรัมป์เกิดขึ้น ‘ทันเวลา’ และ ‘มีประโยชน์อย่างยิ่ง’ เพราะไม่ได้มีการเจรจาโดยตรงในลักษณะนี้มานานแล้ว อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่รัสเซียจะได้ย้ำจุดยืนในรายละเอียดได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า การสนทนาเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา และ ‘ทำให้เราเข้าใกล้การตัดสินใจที่จำเป็นมากขึ้น’
วานนี้ (16 สิงหาคม) ผู้นำของยูเครนร่วมด้วยชาติพันธมิตรยุโรป ต่างออกมาขานรับการประชุมทรัมป์-ปูติน แต่ยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการให้การรับประกันความปลอดภัยแก่ยูเครน
ด้านเซเลนสกีกล่าวว่า ตัวเขารู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับคำเชิญ อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า เขาได้ “สนทนาอย่างยาวนานและมีเนื้อหาสาระกับทรัมป์” หลังจากการประชุมสุดยอดปิดฉาก
“ในการสนทนากับประธานาธิบดีทรัมป์ ผมกล่าวว่าเราควรยกระดับความเข้มงวดในการคว่ำบาตรรัสเซีย ในกรณีที่การประชุมไตรภาคีไม่เกิดขึ้นจริง หรือในกรณีที่รัสเซียหลีกเลี่ยงที่จะยุติสงคราม” ผู้นำยูเครนกล่าว
ทั้งนี้ เซเลนสกีระบุว่า ยูเครนต้องการสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน ไม่ใช่ “แค่การหยุดพักชั่วคราว” พร้อมกล่าวด้วยว่าชาติยุโรปและสหรัฐฯ จะต้องมีส่วนร่วมในการรับประกันถึงความมั่นคงของยูเครนในระยะยาวด้วย
อนึ่ง การพบปะกันระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ จะถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำยูเครนเยือนสหรัฐฯ นับตั้งแต่ทั้งสองได้ปะทะคารมกันอย่างดุเดือดผ่านสื่อเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยในเวลานั้น เซเลนสกีได้เถียงกับทรัมป์ และเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ห้องทำงานรูปไข่อย่างรุนแรง ก่อนที่จะจบแบบไม่มีข้อตกลงใดๆ เกิดขึ้น อีกทั้งเซเลนสกียังถูกเชิญออกจากทำเนียบขาวก่อนกำหนดด้วย ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่า การเจรจาครั้งนี้จะมีผลลัพธ์ไปในทิศทางใด
แฟ้มภาพ: Chip Somodevilla/Getty Images
อ้างอิง:
