ในยุคที่ลูกค้าคาดหวังความรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการ SME รายเล็กหรือเจ้าของกิจการที่กำลังเติบโตก็ต้องพัฒนาโลจิสติกส์ให้ตอบโจทย์ มากกว่าที่เคย เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตและดำเนินไปอย่างยั่งยืน
THE SME HANDBOOK by UOB เอพิโสดที่ 4 ของซีซัน 9 นี้ เฟิร์น-ศิรัถยา อิศรภักดี ชวน ฐานิตา อุปรานุเคราะห์ VP Regional ของ Ninja Van มาร่วมพูดคุยเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของการจัดการโลจิสติกส์ภายในประเทศแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเส้นทาง การจัดระบบคลังสินค้า ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีมาช่วยติดตามและปรับปรุงการจัดส่ง เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่อยากลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และขยายธุรกิจอย่างยั่งยืน
โลจิสติกส์สำคัญอย่างไรกับธุรกิจ?
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘โลจิสติกส์’ หลายคนอาจนึกถึงแค่เรื่องของการขนส่งสินค้า แต่สำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME จากหลากหลายอุตสาหกรรม โลจิสติกส์มีความสำคัญกับธุรกิจอย่างมาก และเป็นหัวใจสำคัญในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่การส่งมอบสินค้าให้ถึงมือลูกค้า ไปจนถึงการนำวัตถุดิบเข้ามาเพื่อผลิตต่อ ทุกขั้นตอนล้วนพึ่งพาระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ แต่จะเลือกใช้บริการแบบไหนต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น
- ประเภทสินค้า: ของแตกหักง่ายหรือไม่ ขนส่งแบบไหนจะเหมาะสมที่สุด
- ความเร็ว: กลุ่มลูกค้าคาดหวังการจัดส่งเร็วแค่ไหน
- ความปลอดภัย: หากเป็นสินค้ามูลค่าสูง ลูกค้าอาจต้องการการขนส่งที่มีการรับประกัน
- งบประมาณ: ต้องบาลานซ์ระหว่างต้นทุนกับคุณภาพ เพราะของดีราคาถูกแทบไม่มีจริง
- ความน่าเชื่อถือของบริษัทขนส่ง: ประสบการณ์ ความตรงต่อเวลา และความรับผิดชอบ
ทุกวันนี้ลูกค้ามีทางเลือกมากมายตั้งแต่ขนส่งทางบก ขนส่งทางน้ำ ไปจนถึงขนส่งทางอากาศ ซึ่งไม่มีโหมดใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกสถานการณ์ เพราะในความเป็นจริงเรามักใช้การผสมผสานหลายช่องทาง เช่น สินค้าจากจีนอาจเริ่มต้นด้วยเครื่องบินภายในประเทศจีน ต่อด้วยเรือมายังไทย แล้วใช้รถส่งถึงมือลูกค้า เป็นต้น
เส้นทางโลจิสติกส์ กว่าที่ของหนึ่งชิ้นกว่าจะถึงมือผู้รับ คุมต้นทุนอย่างไร?
ระหว่าง ‘ประหยัดต้นทุน’ กับ ‘คุณภาพบริการ’ ทั้งสองสิ่งนี้ต้องบาลานซ์กันอย่าง เหมาะสม ดังนั้นเราควรย้อนกลับไปดูว่าต้นทุนของโลจิสติกส์มาจากอะไรบ้าง
- ทรัพยากรในคลังสินค้า: ตั้งแต่จำนวนคลังที่เรามี ไปจนถึงจำนวนพนักงานที่ดูแล ถ้าธุรกิจของคุณมีคลังสินค้าหลายแห่ง ต้นทุนตรงนี้ยิ่งสูง แต่ถ้าสามารถปรับมาใช้คลังกลาง (Centralised Distribution Center) ก็อาจช่วยประหยัดได้ในระยะยาว
- ค่าน้ำมันและเส้นทางจัดส่ง: ในยุคที่ราคาน้ำมันผันผวนตลอดเวลา การวางแผนเส้นทางที่ไม่ดีอาจทำให้ต้นทุนบวมขึ้นโดยที่หลายคนไม่ทันคิด
เพราะฉะนั้นการคิดต้นทุนของของหนึ่งชิ้นในมุมของคนที่อยู่ในระบบโลจิสติกส์จริงๆ มันเริ่มตั้งแต่ต้นทางคือ การรับคำสั่งซื้อ > คนเข้าไปหยิบของในคลัง > ส่งต่อให้ทีมแพ็ก > แจ้งความพร้อมกับขนส่ง > นัดหมายเวลารับสินค้าให้ทันรอบ
การสื่อสารในแต่ละขั้นตอนนี้ หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจได้รับของช้ากว่าที่ควร ยิ่งถ้าเป็นการจัดส่งแบบ B2B ก็ยิ่งมีข้อจำกัดมากขึ้น เช่น โรงงานปิดรับของตอน 5 โมงเย็น ถ้ามาช้า ของก็ต้องวนกลับไปยังต้นทางเพื่อรอส่งใหม่ในวันถัดไป กลายเป็นต้นทุนที่ต้องจ่ายซ้ำซ้อน
ความตรงเวลาของพัสดุ ต้องคิดจากดาต้า และลงมือด้วยระบบ
การจัดส่งพัสดุให้ถึงมือผู้รับอย่างตรงเวลาเกิดจากการวางแผนอย่างมีระบบ ตั้งแต่หน้าคลังจนถึงปลายทาง โดยอาศัยดาต้าและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ทุกขั้นตอนแม่นยำและคุ้มต้นทุนที่สุด
หนึ่งในหัวใจสำคัญคือระบบอัลกอริทึมที่ใช้บริหารเส้นทางการขนส่ง ซึ่งไม่ได้ดูแค่รหัสไปรษณีย์เท่านั้น แต่ยังลงลึกไปถึง แขวง/เขต หรือ ตำบล/อำเภอ เพื่อคัดกรองเส้นทางที่แคบที่สุดและประหยัดที่สุด โดยมีเป้าหมาย 2 ข้อหลักๆ คือ การเพิ่ม productivity ของคนขับ และการทำให้ลูกค้าได้รับพัสดุตรงเวลาและพึงพอใจมากที่สุด
สำหรับ KPI ของคนขับรถในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน คนขับ 1 คนใน 1 วัน (8 ชั่วโมง) ต้องสามารถจัดส่งได้อย่างน้อย 120 ชิ้น ซึ่งบางพื้นที่ เช่น คอนโดหรือออฟฟิศ สามารถมีพัสดุรวมกันหลายสิบชิ้น การนับ productivity จึงดูจากจำนวนชิ้น ไม่ใช่แค่จำนวนสถานที่
ส่วนเรื่องคุณภาพการจัดส่งจะใช้ระบบการยืนยันการส่งมอบสินค้า ที่เรียกว่า POD (Proof of Delivery) ซึ่งเป็นภาพถ่ายที่การันตีว่าของมาถึงจุดหมายแล้ว พร้อมข้อมูลพิกัด (ละติจูด-ลองจิจูด) เวลา สถานที่ และ AI ที่คอยตรวจสอบอัตโนมัติ ถ้าภาพไม่ตรงกับข้อมูลที่ระบบมี AI จะส่งสัญญาณเตือนไปยังทีมหลังบ้านเพื่อตรวจสอบทันที
สรุปคือการส่งเร็วอย่างเดียวไม่พอ ต้องแม่นยำด้วย ซึ่งการลดเวลาจัดส่งให้สั้นลงเริ่มจากการจัดระเบียบหลังบ้าน เพราะคลังสินค้าที่ไม่มีระบบจัดการจะทำให้เวลาค้นหาสินค้าล่าช้าไปหลายเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาตัดรอบ (Cut-off Time) เป็นจุดที่สำคัญมาก ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียว รถรอบนั้นก็อาจออกไปแล้ว ส่งผลให้พัสดุถึงมือผู้รับช้าลงทันที
จุดแข็งของโลจิสติกส์ไทยในอาเซียน กับโจทย์ของการบาลานซ์สต๊อกให้ธุรกิจไปต่อ
เมื่อพูดถึงการขนส่งในระดับภูมิภาค หลายคนอาจไม่ทราบว่าไทยคือหนึ่งในประเทศที่ขนส่งง่ายที่สุดในอาเซียน เพราะไม่ว่าจะอยู่จุดไหน รถก็สามารถเข้าถึงได้หมด แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะ หรือเวียดนาม ที่ประเทศยาวและการขนส่งใช้เวลามากกว่า
แม้บ้านเรามีภูมิรัฐศาสตร์ที่ได้เปรียบมาก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการแข่งขันในอุตสาหกรรมขนส่งของไทยเองก็ดุเดือดที่สุดในภูมิภาคเช่นกัน เช่น หลายปีที่แล้วค่าส่งชิ้นละ 50 บาท ตอนนี้ลดเหลือเพียง 5 บาทในบางช่วงเวลา ซึ่งทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์ แต่ก็ส่งผลให้ทุกฝ่ายต้องบริหารต้นทุนอย่างรัดกุม ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องกลับมาทบทวนระบบหลังบ้านอย่างการบริหารคลังสินค้า (Warehouse Management) เพื่อให้สินค้าพร้อมขายโดยไม่จมทุนกับสต๊อกที่มากเกินไป โดย 4 ปัญหาใหญ่ที่ควรหลีกเลี่ยงให้ได้คือ สต๊อกขาด, สต๊อกเกิน, สต๊อกหาย, สต๊อกเสีย ซึ่งทั้งหมดคือ ‘ต้นทุนแฝง’ และ ‘โอกาสที่หลุดมือ’
กลยุทธ์บริหารคลังที่แนะนำ มี 3 รูปแบบ ได้แก่
- FIFO (First-In, First-Out): เหมาะกับสินค้าที่มีวันหมดอายุ หรือมี life cycle ชัดเจน เช่น ของกิน ยา หรือสินค้าอุปโภค โดยจัดวางแบบเอาสินค้าที่เข้าคลังก่อนออกไปก่อน ช่วยลดโอกาสของเสีย
- ABC Analysis: แบ่งสินค้าตามหมวดมูลค่าและสัดส่วนรายได้ เช่น หมวด A เป็นสินค้าทำเงินหลัก แต่มีสต๊อกไม่มาก, หมวด B เป็นสินค้ากลางๆ และหมวด C เป็น สินค้าที่มีสต๊อกเยอะ แต่มูลค่าต่อหน่วยต่ำ วิธีนี้จะช่วยให้เราโฟกัสทรัพยากรให้เหมาะสม
- Warehouse Management System (WMS): เหมาะกับธุรกิจระดับกลางถึงใหญ่ เพราะช่วยจัดการคลังแบบครบวงจร ตั้งแต่รับของ นับสต๊อก แจ้งเตือนของใกล้หมดอายุ ไปจนถึงการดูยอดเบิกจ่าย
ทำไมของจากคลังใกล้บ้าน ถึงต้องเดินทางอ้อม?
จริงๆ แล้วกระบวนการนี้ไม่ได้เกิดจากความล่าช้าโดยไม่มีเหตุผล แต่เป็นเพราะระบบการขนส่งส่วนใหญ่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะบริษัทขนส่งเอกชน จะใช้โมเดลที่เรียกว่า Hub and Spoke คือ สินค้าที่เราสั่งจากจุด A แม้จะใกล้จุด B ที่เป็นบ้านเรา แต่จะถูกรวบรวมเข้าคลังกลางก่อนเพื่อจัดกลุ่มก่อนจะจัดส่ง
เพราะโลจิสติกส์เป็นเกมของ Utiliisation กับ Optimisation คือการใช้พื้นที่ให้คุ้มที่สุด รถปิกอัพ 1 คันต้องวิ่งแบบเต็มคันและไม่หยุดวิ่ง เพราะถ้าส่งตรงทุกชิ้น รถขนส่งจะเสียพื้นที่โดยเปล่าประโยชน์ และต้องใช้ต้นทุนมากขึ้น
ตัวอย่างการเดินทางของพัสดุ
- ร้านค้าแพ็คของ → ส่งไปที่คลังกลาง
- คลังกลางจะมีการจัดเรียงของใหม่ตามโซนเส้นทาง เช่น รถคันนี้วิ่งเขตพระโขนง รหัสไปรษณีย์ 10260
- ของจะถูกนำไปส่งยัง Drop Point หรือศูนย์กระจายสินค้าในพื้นที่
- สุดท้ายรถมอเตอร์ไซค์หรือรถเล็กจะรับไปจัดส่งให้ถึงปลายทาง
การใช้ระบบ Hub and Spoke จะทำให้รถวิ่งอย่างมีแผน สามารถส่งของหลายชิ้นพร้อมกันในโซนเดียว ช่วยเพิ่ม productivity ให้กับพนักงานขับรถ และที่สำคัญคือช่วยลดต้นทุนได้อย่างมหาศาล
บทเรียนจากต่างประเทศ ในยุคที่โลจิสติกส์ต้องปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค
หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่เห็นได้ชัดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มแบรนด์ค้าปลีกหรือแบรนด์แฟชัน ที่วันนี้หลายแบรนด์เริ่มลดขนาดหน้าร้านให้เล็กลง เพราะพื้นที่คือเงิน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บของไว้ในร้านจำนวนมากอีกต่อไป แต่เลือกใช้แนวคิด On-demand Resupply แทน
- ไม่จำเป็นต้องสต๊อกของเยอะ ถ้ารู้ว่าขายได้รุ่นไหนในจุดไหน ก็ควรส่งให้พอดี เพื่อลดต้นทุนการเก็บ
- เลือกขนส่งให้ยืดหยุ่น เช่น ส่งบ่อยขึ้น แต่จำนวนต่อรอบน้อยลง
- ใช้ดาต้าเป็นตัวนำ ยิ่งรู้ดีมานด์มากเท่าไร ยิ่งวางแผนสต๊อกและขนส่งได้แม่นยำขึ้
เลือกขนส่งอย่างไรให้แมตช์กับธุรกิจ?
ในยุคที่มีผู้ให้บริการมากมาย SME อาจสับสนว่าเจ้าไหนเหมาะกับตัวเอง วิธีเลือกจึงไม่ใช่แค่ ‘ราคา’ อย่างเดียว
- เริ่มจากเป้าหมายของแบรนด์
- ถ้าธุรกิจเน้น ‘คุณภาพสูงและความรวดเร็ว’ คุณอาจต้องเผื่องบมากขึ้น
- ถ้าธุรกิจเน้น ‘ราคาประหยัด แต่รับได้เรื่องระยะเวลา’ ก็มีผู้ให้บริการที่เน้นเรื่องราคาประหยัดเช่นกัน
- ลักษณะธุรกิจส่งผลต่อวิธีการจัดการ
- ธุรกิจ B2B รายใหญ่ มักใช้ 2 ระบบคู่กัน คือ
- In-house (มีรถเองสำหรับดีมานด์ประจำ)
- รถผู้รับเหมา สำหรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งคราว
- ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์
ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญ เช่น DHL หรือบริษัทโลจิสติกส์ที่สามารถจัดการทั้งคลังและการขนส่งให้จบในที่เดียว
โฟกัสที่เป้าหมาย แล้วใช้พาร์ตเนอร์ให้เป็น
ในยุคนี้การบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัว เอง สิ่งสำคัญคือการโฟกัสเป้าหมายของธุรกิจให้ชัด
เมื่อเรารู้แล้วว่าเป้าหมายคืออะไร ไม่ว่าจะเป็น ความเร็วในการส่งของ การควบคุมต้นทุน การบริหารคลังอย่างแม่นยำ หรือแม้แต่การขยายสาขาให้เร็วขึ้น เราสามารถเลือกพาร์ตเนอร์ที่เก่งในแต่ละด้านมาช่วยเติมเต็มในสิ่งที่เรายังไม่ถนัด
ทุกวันนี้บริษัทขนส่งและผู้ให้บริการโลจิสติกส์หลายรายไม่ได้มาแค่ขายบริการ แต่มาในฐานะ Solution Partner คือร่วมกันวางแผน คิดกลยุทธ์ และปรับกระบวนการให้เหมาะกับธุรกิจเราโดยเฉพาะ ทำให้เราไม่ต้องแบกทุกอย่างคนเดียวอีกต่อไป
แค่รู้ว่าจุดแข็งของเราคืออะไร และจุดไหนที่ควรมีคนช่วยคิด คนช่วยทำ การเลือกใช้ทรัพยากรให้ถูกที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้เร็วขึ้นและมั่นคงขึ้น
Credits
The Host ศิรัถยา อิศรภักดี
Show Producer พิชญ์สินี ยงประพัฒน์
Co-Producer กรรญารัตน์ สุทธิสน
Creative ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Sound Editor มุกริน ลิ่มประธานกุล
Sound Editor เอกธันวา สารศรี
Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ
Sound Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์
Graphic Designer ธิดามาศ เขียวเหลือ
Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Channel Admin นิพพิชฌน์ ชุลีนวน
Proofreader Team
THE STANDARD Webmaster Team
THE STANDARD Archive Team