×

ตำรวจไทยผนึกกำลังประชาคมโลกปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้าน เร่งไล่ล่า ‘ก๊ก อาน’ นายทุนใหญ่ชาวกัมพูชา

โดย THE STANDARD TEAM
10.07.2025
  • LOADING...
ตำรวจไทยร่วมองค์กรโลกสืบสวน ‘ก๊ก อาน’ นายทุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมแผนล้างเครือข่ายในกัมพูชา เมียนมา ลาว

วันนี้ (10 กรกฎาคม) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล. ต. อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ UNODC ต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์

 

เปิดเผยสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ยังคงปักหลักในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา เมียนมา และลาว โดยใช้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเดินทางผ่าน เพื่อลักลอบข้ามแดนไปทำงานหรือหลอกลวงทั้งคนไทยและชาวต่างชาติให้เข้าไปทำงานในแก๊งเหล่านี้

 

พล. ต. อ. ธัชชัย ระบุว่า จากมาตรการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมันในเมียนมา ได้ส่งผลให้มีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ในเขตเมืองชเวโก๊กโก๋และเคเคพาร์ก ซึ่งตรวจพบผู้เสียหายถึง 36 สัญชาติ รวม 8,893 ราย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลบซ่อนอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี

 

สำหรับประเทศกัมพูชา พบการขยายตัวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างมากถึง 52 จุด ใน 10 จังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ปอยเปตและแนวชายแดนติดเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่บริหารโดยชาวจีนและได้รับการคุ้มครองจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ขณะเดียวกัน พบการเคลื่อนย้ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย เพื่อหลอกลวงคนต่างชาติ อาทิ ชาวออสเตรเลีย เวียดนาม เกาหลี และจีน ซึ่งทางการไทยสามารถกวาดล้างจับกุมได้

 

ศปอส.ตร. ได้ร่วมกับ ฉก. 88 และ UNODC กำหนดยุทธศาสตร์ “ผนึกกำลังประชาคมโลก ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์” ภายใต้แนวคิด “I2L AI” ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้านหลัก

 

  1. ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของอาคารที่เป็นฐานปฏิบัติการ
  2. ตัดเครือข่ายนำพา ปิดกั้นเพจโฆษณาจัดหางาน, เพจหาบัญชีม้าและคริปโต รวมถึงกลุ่มนำพาข้ามแดน
  3. บังคับใช้กฎหมายและยึดทรัพย์ มุ่งเป้าที่เจ้าของอาคาร ผู้บงการ ผู้บริหารจัดการ และผู้ให้ความคุ้มครอง
  4. ใช้ AI ควบคุมป้องกัน นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาสกัดกั้นการใช้ไทยเป็นทางผ่านหรือหลอกลวงข้ามแดน
  5. ผนึกกำลังประชาคมโลก จัดตั้งศูนย์บริหารฉับพลันเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ (War Room) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย โดยมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC, INTERPOL, และ FBI ร่วมเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการร่วมกัน คาดว่ายุทธศาสตร์นี้จะเห็นผลความคืบหน้าภายใน 3 เดือน

 

กล่าวถึงกรณีการสืบสวนคดี ก๊ก อาน นายทุนเขมรรายใหญ่ที่เป็นเจ้าของอาคารสแกมเมอร์ และคาสิโนหลายแห่งในกัมพูชา ว่า ในส่วนของคดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับใครจะเป็นคนไทยหรือกัมพูชา ก็จะดำเนินคดีทั้งหมด รวมถึงยึดทรัพย์ ซึ่งตอนนี้ ตำรวจไซเบอร์อยู่ระหว่างขยายผล โดยในสัปดาห์นี้จะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม

 

ส่วนการตรวจค้นครั้งที่ผ่านมาของตำรวจไซเบอร์ พบเพียงแค่บุคคลที่ถูกตั้งข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยการติดตามตัว ก๊ก อาน จากข้อมูลไม่พบว่าอยู่ในประเทศไทย รวมถึงในขณะที่ออกหมายจับก๊ก อาน นั้นก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีประสานกับอินเตอร์โพลแล้ว เพื่อติดตามตัวว่าอยู่ในประเทศใด ซึ่งหลังจากนี้จะมีการออกหมายแดง และส่งให้ประเทศสมาชิกอินเตอร์โพล 196 แห่งทั่วโลกได้รับทราบ

 

พล. ต. อ. ธัชชัย ยืนยันว่า ก๊ก อาน ใช้หนังสือเดินทางของประเทศกัมพูชา ส่วนหลานสาวของก๊ก อาน ใช้บัตรประชาชนคนไทยปลอมหรือไม่นั้นจะต้องไปตรวจสอบก่อน หากใช่ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนรายละเอียดของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายก๊ก อาน อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล ซึ่งตอนนี้มีพยานหลักฐานของไทยที่ชัดเจนแล้ว ยังมีหลักฐานของ FBI ด้วย จึงสามารถไปขอศาลออกหมายจับได้

 

ทั้งนี้ จากหลักฐานที่มี เจ้าหน้าที่เชื่อว่าก๊ก อาน เป็นเจ้าของอาคารที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือสแกมเมอร์หลายแห่ง ส่วนจะมีการออกหมายจับก๊ก อาน ในคดีอื่นเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าเป็นรูปแบบกระบวนการหรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกประชาชนหรือไม่ และมีส่วนในการฟอกเงินด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ และจะต้องนำมาพิจารณาให้เป็นพยานหลักฐานในการออกหมายจับ

 

ส่วนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่อาจจะทำให้การประสานงานในการติดตามตัวก๊ก อาน มาดำเนินคดีนั้นเป็นไปได้ยากหรือไม่ พล.ต.อ. ธัชชัย กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ไทยก็อยากได้ตัว ซึ่งเราจะต้องทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย โดยเริ่มจากการส่งเรื่องไปที่อินเตอร์โพล ก่อนจะส่งเรื่องไปให้กัมพูชาในการออกหมายแดงก๊ก อาน โดยหลังจากนี้ อินเตอร์โพลจะออกขั้นตอนการปฏิบัติมาบังคับใช้กับกลุ่มสมาชิก แม้ว่าจะไม่มีบทลงโทษกับประเทศสมาชิกที่ไม่ดำเนินการตาม แต่ส่วนตัวเชื่อว่า แรงกดดันทางด้านสังคมจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาที่หลายประเทศกำลังประสบกันทั่วโลก และส่วนใหญ่มาจากกัมพูชา และส่วนตัวก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่กัมพูชาก็อยากจะกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาด้วยเช่นกัน พร้อมยืนยันว่า ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางคดี

 

ส่วนกรณีที่ก๊ก อาน มีความสนิทกับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จะมีผลต่อการติดตามตัวหรือไม่ พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย ตนไม่สามารถตอบได้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารของกัมพูชา แต่สิ่งที่ตอบได้คือ ก๊ก อานเป็นนักธุรกิจ และสมาชิกวุฒิสภาของกัมพูชา (สว.) ที่มีความเกี่ยวข้องกับอาคาร สถานที่ ที่เป็นที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์หลายอาคาร และมีความเชื่อมโยงที่ชัดเจน

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากการสืบสวนมีความเชื่อมโยงกับนักการเมืองของไทยหรือไม่ พล.ต.อ.ธัชชัย เผยว่า ในทางคดียังไม่พบความสัมพันธ์กับบุคคลใด รวมถึงยังไม่พบข้อมูลความเชื่อมโยงถึงเฮีย ต. ที่ รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เคยเปิดเผยว่าเป็นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาด้วย

 

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวอีกว่า ตนขอชื่นชมตำรวจไซเบอร์ที่กล้าดำเนินคดีกับเจ้าของอาคาร เพราะการรวบรวมพยานหลักฐานจากฝั่งกัมพูชา เพื่อมาขอหมายศาลในการจับกุมเจ้าของอาคาร เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่พยายามทำมาแล้ว 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่มีข้อมูลเพิ่มจากต่างประเทศ จึงทำให้เกิดความชัดเจน และทำให้ศาลเชื่อ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising