×

ถอดรหัส World Justice Forum: เมื่อโลกป่วยด้วย ‘นิติธรรมถดถอย’ ไทยจะไปทางไหน?

02.07.2025
  • LOADING...

กรุงวอร์ซอ โปแลนด์ – ท่ามกลางความกังวลที่ปกคลุมประชาคมโลก จากสถานการณ์ ‘นิติธรรมถดถอย’ ควบคู่ไปกับ ‘การขยายตัวของอำนาจนิยม’ ที่กำลังกัดกร่อนรากฐานประชาธิปไตยทั่วโลก เวที World Justice Forum 2025 มีขึ้น ณ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เพื่อเป็นพื้นที่ระดมสมองของนักกฎหมาย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม นักสิทธิมนุษยชน องค์กรระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน รวมกว่า 600 คน จาก 87 ประเทศ เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังทั่วโลก

 

การประชุมที่จัดโดย World Justice Project (WJP) ในครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลดัชนีชี้วัดที่น่าตกใจ แต่ยังเต็มไปด้วยความพยายามที่จะหาทางออกจากวิกฤต โดยที่ประชุมได้แสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้จุดประกายความหวัง ด้วยการประกาศ ‘หลักการแห่งวอร์ซอ’ (Warsaw Principles) เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกภาคส่วนนำไปปรับปรุงและฟื้นฟูหลักนิติธรรมให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง

 

World Justice Forum 2025 ที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์​

 

ถอดรหัส ‘นิติธรรมถดถอย’ ผ่านดัชนี WJP 

 

ก่อนจะเข้าใจความท้าทาย ต้องเข้าใจเครื่องมือวัดผลเสียก่อน

 

WJP Rule of Law Index คือเครื่องมือประเมินเชิงปริมาณที่ออกแบบมาเพื่อวัดหลักนิติธรรมจากประสบการณ์และการรับรู้ของคนทั่วไปในชีวิตประจำวัน โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสำคัญ 2 ส่วน คือ การสำรวจภาคประชาชนกว่า 214,000 ครัวเรือน และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอีกกว่า 3,500 คนทั่วโลก

 

ภาพที่ปรากฏจากดัชนีปี 2024 นั้นน่ากังวลอย่างยิ่ง:

 

  • ภาวะถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่ 7: หลักนิติธรรมได้เสื่อมถอยลงใน 57% ของประเทศทั่วโลก

 

  • อำนาจรัฐไร้การตรวจสอบ: ปัจจัย ‘การจำกัดอำนาจรัฐ’ อ่อนแอลงใน 59% ของประเทศ โดยเป็นผลมาจากการอ่อนแอลงของการตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ตุลาการ และองค์กรนอกภาครัฐ 

 

  • สิทธิมนุษยชนถูกคุกคาม: ปัจจัย ‘สิทธิขั้นพื้นฐาน’ ลดลงมากที่สุด คือใน 63% ของประเทศ โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม และการสมาคม 

 

 ผู้เข้าร่วมงาน World Justice Forum กว่า 600 คน จาก  87 ประเทศ​

 

สำหรับประเทศไทย อันดับที่ 78 จาก 142 ประเทศ ด้วยคะแนน 0.50 อาจดูเหมือนอยู่กลางๆ แต่ ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ซึ่งได้ร่วมประชุมในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นมุมมองที่ลึกซึ้งว่า “มันเป็นความรู้สึกเชิงเปรียบเทียบ” เพราะแม้แต่ผู้พิพากษาจากเกาหลีใต้ที่อันดับอยู่ต้นๆ ก็ยังรู้สึกว่าหลักนิติธรรมในประเทศของเขากำลังถดถอย ดังนั้น ประเด็นสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข แต่อยู่ที่ว่า สังคมไทยเรา ‘ไว’ ต่อตัวเลขนี้แค่ไหน การตระหนักรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

 

‘หลักการแห่งวอร์ซอ’: แผนที่นำทางสู่การฟื้นฟู

 

เพื่อตอบโต้แนวโน้มที่น่ากังวลนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันร่าง ‘หลักการแห่งวอร์ซอ’ 10 ประการ เพื่อเป็นกรอบการทำงานร่วมกัน โดยมีหลักการสำคัญที่สอดคล้องกับสิ่งที่ TIJ พยายามขับเคลื่อน เช่น

 

หลักการที่ 1: เสริมสร้างการตรวจสอบและถ่วงดุล เพื่อจำกัดอำนาจฝ่ายบริหาร และปกป้องความเป็นอิสระและคุณธรรมของฝ่ายตุลาการและอัยการ

 

หลักการที่ 3: ปกป้องพื้นที่ภาคประชาสังคม โดยรับประกันเสรีภาพของสื่อ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม และต่อต้านเผด็จการทางดิจิทัล

 

หลักการที่ 5: ขจัดการทุจริต โดยส่งเสริมรัฐบาลเปิด (Open Government) รับประกันการเข้าถึงข้อมูล และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและงบประมาณ

 

หลักการที่ 6: ส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดย ส่งเสริมระบบยุติธรรมที่เข้าถึงง่าย ครอบคลุม เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน และตอบสนองต่อความต้องการของบุคคลและชุมชนทุกกลุ่ม

 

ผู้เขียนร่วมรับฟังในงาน World Justice Forum 2025 

 

ผู้เขียนในฐานะสื่อมวลชนจาก THE STANDARD ได้เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์การประชุมครั้งนี้ ตามคำเชิญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งการประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 มิถุนายน 2568 และได้มีโอกาสพิเศษพูดคุยเจาะลึกกับ ศ.พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ และ ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ เพื่อถอดรหัสความหมายของปรากฏการณ์นี้ และมองหาทิศทางของประเทศไทยในอนาคต

 

ผู้เขียนสัมภาษณ์ ศ.พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธาน TIJ 

 

บทสนทนาจากวอร์ซอ: มุมมองสองผู้ขับเคลื่อนหลักนิติธรรมของไทย

 

THE STANDARD: การได้มาร่วมประชุม World Justice Forum ท่ามกลางความกังวลเรื่องหลักนิติธรรมถดถอยทั่วโลก มองเห็นภาพอะไรที่ชัดเจนขึ้นสำหรับประเทศไทย

 

ดร.กิตติพงษ์: การประชุมครั้งนี้ได้ประโยชน์ตรงที่ทำให้เห็นว่าปัญหาเรื่องหลักนิติธรรมไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในบ้านเรา แต่เกิดขึ้นกับหลายประเทศเช่นกัน และยังได้เห็นแนวทางที่ประเทศต่างๆ พยายามแก้ไข ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว มีหลายคนที่มีปัญหาเหมือนเราหรือยิ่งกว่าเรา สิ่งที่น่ากลัวในปัจจุบันคือภาวะนี้มองไม่ค่อยเห็น กระบวนการยุติธรรม ศาล หรือองค์กรอิสระก็ยังคงมีอยู่ แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ได้ทำหน้าที่ที่ทำให้ประชาชนพึงพอใจ หรือไม่ได้ทำหน้าที่ในการป้องกันสิทธิพื้นฐานของประชาชน 

 

ในอนาคตอาจไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญหรือรัฐประหารอย่างโจ่งแจ้ง แต่จะมีการใช้มาตรการทางกฎหมายมาเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ทำให้กระบวนการประชาธิปไตยอ่อนแอลง การที่ WJP หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาและรวบรวมปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เราเห็นภาพที่เป็นรูปธรรม และเป็นสัญญาณเตือนภัยในความคิดของผม ทำให้เรารู้สึกว่าต้องพยายามประคับประคองหลักนิติธรรมของบ้านเราให้คงอยู่และดีขึ้น

 

THE STANDARD: ในฐานะองค์กรจากไทย TIJ มีภารกิจและได้นำเสนออะไรบ้างในเวทีนี้ 

 

ดร.พิเศษ: TIJ มุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรฐานความรู้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านหลักนิติธรรมของไทย การประชุมครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราได้เรียนรู้พัฒนาการใหม่ๆ และกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรหลักอย่าง WJP และ OECD เราได้นำเสนอ 2 เรื่องใหญ่ เรื่องแรกคือประสบการณ์การขับเคลื่อนหลักนิติธรรมระดับชาติ ผ่านคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนหลักนิติธรรม (กขนช.) ซึ่งเราเน้นว่าการทำงานจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

 

เรื่องที่สองคือ การนำเสนอรายงานผลการศึกษาที่ทำร่วมกับ OECD ซึ่งเป็นการศึกษาชิ้นแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้โมเดลทางเศรษฐศาสตร์ประเมิน ‘ต้นทุนของอาชญากรรม’ ออกมาเป็นตัวเงิน เราพบว่าผลกระทบจากอาชญากรรมในปี 2022 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 5.6% ของ GDP ประเทศไทย ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลในการจัดสรรทรัพยากร เช่น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่สร้างต้นทุนทางสังคมสูงมาก แต่กลับได้รับการจัดสรรงบประมาณในการแก้ไขและเยียวยาน้อยมาก ในขณะที่เราทุ่มงบมหาศาลเพื่อการปราบปรามยาเสพติด แต่ผลกระทบในการแก้ไขปัญหายังไม่สูงเท่าที่ควร ข้อมูลเชิงประจักษ์เช่นนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้ TIJ ใช้ทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบาย เพื่อทบทวนและจัดลำดับความสำคัญของปัญหาต่างๆ โดยอาศัยข้อมูลที่เป็นกลาง ไม่ใช่แค่ความเชื่อหรืออุดมการณ์

 

THE STANDARD: เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย อะไรคือหัวใจสำคัญที่สุด และเป็นโจทย์เร่งด่วนที่ต้องแก้ไขเพื่อยกระดับหลักนิติธรรม

 

ดร.กิตติพงษ์: ผมว่าเรื่องของ ‘ความเชื่อถือศรัทธาในระบบยุติธรรม’ มีความสำคัญที่สุด เราต้องทำให้ระบบยุติธรรมเป็นที่เชื่อถือของประชาชน ซึ่งต้องทำหลายอย่างประกอบกัน เช่น ทำให้องค์กรตุลาการมีความเป็นอิสระ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความรับผิดชอบตามระบอบประชาธิปไตย คือต้องถูกตรวจสอบได้ ไม่ใช่เป็นอิสระลอยๆ นอกจากนี้ ต้องทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่เลือกปฏิบัติ และทำให้คนรู้สึกว่าเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป

 

จากประสบการณ์ของผมที่ทำเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง พบว่าก่อนที่ประเทศจะเป็นรัฐล้มเหลว มันเริ่มต้นจากระบบกฎหมายที่ไม่เป็นที่เชื่อถือ เมื่อกระบวนการยุติธรรมเลือกข้าง ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ สังคมก็จะเริ่มเสื่อมถอยและไม่ศรัทธาในระบบรัฐ ดังนั้น ถ้าเรารู้สึกว่าหลักความยุติธรรมของเราเริ่มสั่นคลอน ปัญหาคอร์รัปชันมีมาก คนเริ่มไม่เชื่อถือองค์กรภาครัฐ มันก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเราอาจจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว  และการแก้ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของนักกฎหมาย ศาล ตำรวจ อัยการ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วหลักนิติธรรมเป็นของประชาชน กฎหมายต้องคุ้มครองประชาชน ดังนั้นประชาชนต้องตระหนักและเข้ามามีส่วนร่วม

 

ผู้เขียนสัมภาษณ์ ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ 

 

THE STANDARD: TIJ มีแผนจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อในทางปฏิบัติอย่างไร

 

ดร.พิเศษ: สำหรับ TIJ เรามีโจทย์ใหญ่ที่ต้องกลับไปทำต่อหลายเรื่อง ผมคิดว่า ‘การตรวจสอบการใช้อำนาจ’ (Accountability) และ ‘การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ’ (Open Data) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเห็นผลเร็ว เพราะสังคมไทยคุ้นเคยกับเรื่องนี้และมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีรองรับอยู่แล้ว ภารกิจของเราคือการสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานที่ถือข้อมูล อย่างเช่น ป.ป.ช. เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการตรวจสอบและลดความเสี่ยงคอร์รัปชัน 

 

นอกจากนี้ ประเด็นบทบาทของภาคธุรกิจ เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างมากในการประชุมครั้งนี้ เราอยากนำข้อมูลอย่างตัวเลข ‘ต้นทุนของอาชญากรรม’ ไปสื่อสารให้นักธุรกิจเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า หากพวกเขาร่วมลงทุนในการแก้ไขปัญหา มันไม่ใช่เป็นเพียงการทำบุญ แต่แท้จริงแล้วมันคือ ‘การลงทุนเพื่อองค์กรและระบบนิเวศทางธุรกิจของตัวเอง’ นี่เป็นอีกจุดที่ TIJ อยากจะให้ความสำคัญ เพราะหลักนิติธรรมก็เหมือนสวนที่เราต้องคอยดูแลรดน้ำพรวนดิน กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม

 

มุมมองต่อยุทธศาสตร์ชาติ: หลักนิติธรรมกับการเข้าเป็นสมาชิก OECD

 

นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ การยกระดับหลักนิติธรรมยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของชาติอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)

 

ดร.กิตติพงษ์ ได้ให้มุมมองในประเด็นนี้ว่า ผมว่าสำคัญค่อนข้างมาก เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงที่อยากจะเข้าเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งหมายถึงการยกระดับประเทศให้มีมาตรฐานด้านการลงทุนและระบบยุติธรรมเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว เวทีนี้ซึ่งวัดอันดับหลักนิติธรรมก็เชื่อมโยงกับมาตรฐานของประเทศโดยตรง TIJ มีความใกล้ชิดกับทั้ง World Justice Project และ OECD เราได้นำเสนอโครงการวิจัยที่ทำร่วมกับ OECD เป็นประเทศแรกในเอเชีย และได้พูดคุยถึงบทบาทของเราในฐานะองค์กรวิจัยที่เป็นสะพานเชื่อมให้องค์กรต่างๆ ของไทยได้เรียนรู้และพัฒนาไปสู่เป้าหมายการเป็นสมาชิก OECD ซึ่งหลังจากการพูดคุย เราก็มั่นใจว่าทั้งสององค์กรพอใจในบทบาทของเราและพร้อมที่จะร่วมมือกันต่อไป นอกจากนี้ งานวิจัยที่เราจะทำร่วมกับ OECD ต่อไป ก็จะเป็นการปูทางให้ประเทศไทยเมื่อจะเข้าร่วมจริงๆ จะได้ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising