“มันเป็นรายการที่ไร้ความหมาย” คือความรู้สึกที่ซื่อตรงของ เจอร์เกน คล็อปป์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ที่มีต่อรายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก หรือ FIFA Club World Cup 2025
และมันนำไปสู่การถกเถียงที่น่าสนใจตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโต้ตอบจาก คาเวห์ โซเลโคล ผู้ประกาศข่าวระดับหัวแถวของสถานีโทรทัศน์ Sky Sports ที่ออกมาบอกว่า “ถ้าไม่ชอบก็ไปตีปาเดล ไปว่ายน้ำ หรือไปทำอย่างอื่นแทนสิ”
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ ในขณะที่รายการชิงแชมป์สโมสรโลกถูกมองจากสื่อใหญ่ระดับโลก รวมถึงบุคคลที่มีอิทธิพลในระดับสูง (เช่น คล็อปป์) ว่าเป็นรายการแข่งขันที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย และจะส่งผลเสียในระยะยาว โดยเฉพาะต่อสวัสดิภาพของผู้เล่น
แต่ในอีกด้าน มุมมองของผู้บริหารระดับในเครือ Red Bull คือสิ่งที่สะท้อนเรื่องราวทั้งหมดจริงหรือไม่? ในเมื่อโลกฟุตบอลไม่ได้มีเพียงแค่สโมสรในยุโรป
เมื่อยังมีสโมสรจากทวีปอื่นเข้าร่วมแข่งขันด้วย
ประเด็นร้อนในเรื่องความเหมาะสมของการจัดการแข่งขันศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกกลับมาอีกครั้งหลังจากที่มีเสียงอันทรงพลังจากคล็อปป์ หนึ่งในคนที่ได้รับการยกย่องสูงที่สุดในโลกลูกหนังที่แสดงการต่อต้านรายการนี้อย่างรุนแรง
เพราะในความรู้สึกของอดีตผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน (ที่ยืนยันว่าไม่มีพลังเหลือพอจะกลับมารันงานแบบเดิมอีกแล้ว) มองว่าการที่ FIFA ปรับรูปแบบการแข่งขันใหม่จากเดิมที่แข่งปีละหน เป็น 4 ปีหนในรูปแบบเดียวกับฟุตบอลโลกที่มีทีมเข้าร่วมจากทั่วโลกจำนวน 32 ทีม เป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย
“ใครที่ชนะในรายการนี้จะเป็นแชมป์ที่เลวร้ายที่สุดตลอดกาล เพราะพวกเขาต้องลงแข่งขันตลอดช่วงฤดูร้อนและจากนั้นก็ต้องเตรียมลงแข่งในลีกต่อเลย
“มันมีคนที่ไม่เข้าใจการทำงานจริงๆ ในวงการฟุตบอลที่เกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา”
ในคำวิจารณ์ของคล็อปป์นั้น เนื้อแท้คือความห่วงใยต่อสุขภาพของผู้เล่นที่เป็นประเด็นถกเถียงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องของปัญหาสภาพร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงโดยที่แทบไม่มีเวลาได้พัก แต่ยังรวมถึงปัญหาสภาพจิตใจด้วย
“ตอนนี้มีเกมการแข่งขันมากเกินไปแล้ว ผมกลัวว่าในฤดูกาลหน้าเราอาจจะได้เห็นจำนวนอาการบาดเจ็บที่เพิ่มขึ้นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งถ้ามันไม่เกิดตอนนั้น มันก็อาจจะเกิดในระหว่างการแข่งชิงสโมสรโลกหรือหลังจากจบรายการแล้ว
“ไม่มีเวลาให้นักฟุตบอลพักฟื้นจริงๆ เลย ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ”
โดยที่คล็อปป์ยังได้เปรียบเทียบให้เห็นอีกด้วยว่า “นักฟุตบอล NBA มีเงินรายได้มากกว่าแถมยังได้พัก 4 เดือนต่อปี ในขณะที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ไม่เคยได้รับอะไรแบบนี้เลยตลอดชีวิตการเล่นของเขา”
เรื่องนี้สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกับอีกหลายฝ่ายที่แสดงความกังวลในเรื่อง Wellfare ของนักฟุตบอล และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มรายการแข่งขันใหญ่ในระดับนี้เข้ามาในช่วงปิดฤดูกาล ก่อนหน้าจะถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งความจริงควรจะเป็นช่วงเวลา ‘ฟรี’ ที่นักฟุตบอลในระดับ Elite ได้พักก่อนกรำศึกหนัก
หนึ่งในคนที่แสดงความกังวลคือ ฮาเวียร์ เตวาส ประธานลาลีกา
“เราบอกไปแล้วว่าสำหรับสโมสร เหมือนกับการแข่งขันรายการต่างๆ เรามีข้อตกลงกับลีกฟุตบอลและสหภาพนักฟุตบอลว่าเราไม่เห็นด้วยกับ Club World Cup
“ไม่ใช่เพราะการทำงานที่มากขึ้น แต่เพราะนักเตะหลายคนที่ต้องไปเล่น ต้องคิดถึงนักเตะทุกคนที่ต้องไปเล่นรายการเหล่านี้ และต้องเหนื่อยล้ามากตอนจบ อีกทั้งสิทธิ์การถ่ายทอดสดของเรา มันบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการแข่งขัน
“มันเป็นปัญหาสำหรับระบบฟุตบอล เรากำลังพูดถึงลีกสำหรับนักฟุตบอล ที่ไม่มีใครถามเราเลยว่าควรจะมีไหม ไม่ได้ขออนุญาต และทำให้เราต้องปรับโปรแกรมแข่งขัน เพื่อให้รายการนี้แข่งได้”
ขณะที่ ราฟินญา สตาร์ประจำทีมบาร์เซโลนา ซึ่งแม้จะไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการนี้แต่ก็แสดงความเห็นในมุมของนักฟุตบอลว่า “อย่างไรเราก็ต้องไปเพราะเราต้องทำตามคำสั่ง และต้องลงสนาม ในฐานะนักฟุตบอลที่เล่นในยุโรปแล้วการต้องสละการพักร้อนเพื่อลงแข่งในรายการใหม่เป็นเรื่องที่หนักหนามาก”
ในปัจจุบันนักฟุตบอลโดยเฉพาะในระดับสูงเหลือเวลาในการพักผ่อนน้อยลงอย่างน่าตกใจ เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการปรับเปลี่ยนและเพิ่มรายการแข่งขันเข้ามาใหม่ไม่ว่าจะเป็น
- รายการชิงแชมป์สโมสรโลก
- รายการยูฟ่าเนชันส์ลีก
- การปรับรูปแบบรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูโรปาลีก และยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก
- ฟุตบอลโลกที่เตรียมจะปรับรูปแบบการแข่งขันเพิ่มจำนวนทีมเป็น 48 ทีมในปี 2026
โดยที่ทั้งหมดสิ่งที่เกิดขึ้นคือจำนวนเกมการแข่งขันที่ต้องลงสนามที่เพิ่มมากขึ้น และเริ่มส่งผลต่อสภาพร่างกายของนักฟุตบอลที่ถูกใช้งานอย่างหนัก และทำให้มีความกังวลในเรื่องของสวัสดิภาพของนักฟุตบอลอย่างมาก
สิ่งที่เลวร้ายขึ้นไปอีกคือรายการชิงแชมป์สโมสรโลกที่จัดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกา ประเทศเจ้าภาพหลักของการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 (โดยมีแคนาดา และเม็กซิโก ร่วมเป็นเจ้าภาพแต่รองรับไม่กี่นัด) มีปัญหาที่น่าวิตกตามมาคือเรื่องสภาพอากาศที่โหดร้าย
นอกจากความร้อนที่ร้ายกาจซึ่งทำให้มีหลายนัดที่นักฟุตบอลต้องพักดื่มน้ำ หรือการสั่งให้ตัวสำรองข้างสนามไปนั่งชมเกมการแข่งขันอยู่ด้านในห้องแต่งตัวแล้ว ยังมีเรื่องของสภาพอากาศวิปริตที่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันด้วย
หนึ่งในเกมที่กลายเป็นกรณีปัญหาคือเกมระหว่าง เชลซี ซึ่งพบกับเบนฟิกา ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายซึ่งเกมต้องหยุดพักการแข่งขันไปยาวนานกว่า 2 ชั่วโมงเนื่องจากมีเหตุการณ์ฟ้าผ่าใกล้สนาม จนทำให้ เอ็นโซ มาเรสกา นายใหญ่เชลซี ออกมาแสดงความเห็นที่ดุเดือด
“สำหรับผมมันไม่ใช่ฟุตบอลเลย พูดตรงๆ ผมว่ามันเหมือนเป็นเรื่องตลก ผมเข้าใจมันไม่ได้เลย ผมรู้เรื่องของหลักความปลอดภัย แต่ถ้าคุณต้องหยุดพักเกมหลายต่อหลายนัดแบบนี้ มันก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดแข่งรายการนี้”
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกคน ทุกฝ่ายจะมองรายการชิงแชมป์สโมสรโลกในแง่ร้ายเสียทั้งหมด
ฮริสโต สตอยช์คอฟ ตำนานกองหน้าผู้ยิ่งใหญ่ทีมชาติบัลแกเรีย ที่แฟนฟุตบอลในยุค 90 ต่างรู้จักเป็นอย่างดีตอบโต้คำวิจารณ์จากคล็อปป์ว่า “ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งนี้จะมาจากคล็อปป์ ผมเคารพเขามากนะ แต่บางทีเขาอาจจะโกรธนิดหน่อยที่เรดบูล ซาลซ์บวร์ก ไม่ได้อยู่ในรายการอีกแล้ว เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของเครือ Red Bull”
“ทีตอนลิเวอร์พูลลงแข่งชิงแชมป์สโมสรโลก พวกเขาไม่เคยเห็นบ่นอะไรเลย ในเวลาที่สโมสรได้เงินไม่มีใครบ่นอะไร ผมคิดว่าเราควรจะเคารพรายการนี้ให้มันมากกว่านี้นะ”
ขณะที่ คาเวห์ โซเลห์โคล ผู้ประกาศเบอร์ต้นของสถานี Sky Sports ที่ถูกวิพากษ์อย่างมากในการออกมาโต้กลับคล็อปป์ด้วยคำพูดเหน็บแนม ได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมผ่านบัญชี X (Twitter) ของตัวเอง
“จำนวนเกมฟุตบอลและรายการชิงแชมป์สโมสรโลกมันทำให้อะไรๆ ดูเลวร้ายลงก็จริง แต่มันไม่ได้หมายความว่าการชิงแชมป์สโมสรโลกเป็นความคิดที่เลวร้าย” โซเลห์โคลโพสต์ข้อความอธิบายความคิดเห็นของตัวเอง
“สโมสรและสมาคมฟุตบอลในอเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชีย ต่างเบื่อหน่ายกับการเสียนักเตะที่เก่งที่สุดไปให้ทีมในยุโรป พวกเขาเบื่อหน่ายกับการที่สโมสรใหญ่ในยุโรปครองวงการแต่ผู้เดียว ซึ่งวิธีการเดียวที่จะคืนสมดุลของอำนาจกลับมาก็คือรายการชิงแชมป์สโมสรโลก
“7 จาก 16 ทีมที่เข้ารอบเป็นทีมจากนอกยุโรป เงินรางวัลที่สโมสรฟุตบอลยุโรปจะได้รับจากการลงแข่งในแชมเปียนส์ลีก ถูกนำมาเสนอให้แก่สโมสรทุกแห่งทั่วโลก โดยที่สโมสรจากยุโรปเองก็ได้รับเงินส่วนแบ่งมากกว่าทวีปอื่นด้วยในจำนวนเงินรางวัลทั้งหมด 1 พันล้านดอลลาร์”
โดยสรุปแล้วในมุมมองของผู้สื่อข่าว Sky Sports เชื่อว่าถึงรายการชิงแชมป์สโมสรโลกจะไม่ใช่รายการที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นหนทางเล็กๆ ที่จะทำให้เกมฟุตบอลมีความยุติธรรมกันมากขึ้นกับสโมสรที่ไม่ได้อยู่ในยุโรป
ในเชิงของวัฒนธรรมฟุตบอลแล้ว รายการชิงแชมป์สโมสรโลกยังได้ฉายให้คนในโลกลูกหนังได้มองเห็นภาพอีกด้านที่แตกต่างจากเกมฟุตบอลระดับชั้นนำของยุโรปที่ได้เห็นกันมาตลอด
โดยเฉพาะวัฒนธรรมการเชียร์ที่น่าประทับใจ จากสโมสรฟุตบอลทั่วโลกไม่ว่าจะจากอเมริกาใต้ แอฟริกา หรือแม้แต่เอเชีย
ภาพของกองเชียร์พัลไมรัส โบตาโฟโก และริเวอร์เพลท ที่สำแดงแสนยานุภาพสร้างสีสันที่งดงามในช่วงรอบแรกของการแข่งขันชิงแชมป์สโมสรโลก เช่นเดียวกับภาพคลื่นมนุษย์ของกองเชียร์อุราวะ เรดส์ ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่แค่ในกลุ่มแฟนบอลแต่กับทีมฟุตบอล ที่เชียร์ไปด้วยกัน และเจ็บปวดไปด้วยกันเมื่อพลาดโอกาสในการเข้ารอบในช่วงท้ายเกม แต่สุดท้ายหลังจบเกมต่างช่วยกันเก็บขยะออกจากสนามตามสไตล์แฟนบอลผู้มีอารยะของญี่ปุ่น
นี่คือความงดงามที่เกิดขึ้นและมองเห็นได้ในเกมฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ที่ไม่ต่างอะไรจากการเฉลิมฉลองในรูปแบบที่แตกต่างจากบรรยากาศฟุตบอลโลกที่เห็นกันเป็นประจำทุก 4 ปี
และบางทีอาจจะเป็นเรื่องงดงามที่สุดก็ว่าได้จากการแข่งขันครั้งนี้ ที่เป็นข้อโต้แย้งคล็อปป์ว่า ก็ไม่ถึงกับเป็นรายการที่ไม่มีสาระหรือความหมายอะไรเลย
บางทีไม่ควรมีใครใช้ความคิดตัดสินใครจากมุมมองตัวเองเท่านั้น?
สำหรับอนาคตของรายการชิงแชมป์สโมสรโลกนั้น จะมีขึ้นต่ออย่างแน่นอน โดยเวลานี้มีประเทศที่รอเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแล้ว
- บราซิล
- สเปน
- ซาอุดีอาระเบีย
- กาตาร์
โดยชาติที่ถูกคาดหมายว่าจะได้โอกาสนี้คือกาตาร์ ชาติที่เคยจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ FIFA ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงนั่นหมายถึงการกระทบต่อปฏิทินการแข่งขันฟุตบอลโดยเฉพาะในลีกยุโรปอีกครั้ง เพราะจะต้องจัดแข่งขันในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น
สิ่งที่น่าติดตามคือจะมีความพยายามเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายหรือไม่ เพราะ FIFA มีจุดยืนชัดเจนที่จะจัด (และยัด) การแข่งขันต่อไปเนื่องจากเป็นเกมชิงอำนาจ ‘ผู้นำ’ ของโลกลูกหนัง กับ UEFA ที่พยายามปรับรูปแบบเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่การแข่งขัน และไม่โดน Disrupt ด้วยไอเดีย ‘ซูเปอร์ลีก’ อีก
คำถามคือจะมีการวางมาตรการช่วยเหลืออย่างไรเพื่อไม่ให้นักฟุตบอลที่เป็น ‘เบี้ย’ ต้องบอบช้ำกันมากกว่านี้
เพียงแต่ความหวังในเรื่องการเจรจาหารือหากประเมินจากสิ่งที่ผ่านมาแล้วต้องบอกว่าแทบมีน้อยจนแทบไม่มี
ทุกฝ่ายทำได้แค่เล่นไปตามเกมที่กำหนดไว้จากผู้มีอำนาจเท่านั้น
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2025/jun/28/pointless-club-world-cup-is-footballs-worst-idea-ever-says-jurgen-klopp
- https://www.beinsports.com/en-us/soccer/fifa-club-world-cup/articles-video/qatar-wants-to-host-the-2029-club-world-cup-in-winter-2025-06-29
- https://www.footboom1.com/en/news/football/2636858-klopp-raphinha-maresca-criticize-fifa-s-new-world-cup-format