วันนี้ (25 มิถุนายน) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องตน โดยศาลมีความเห็นว่า อุปกิตเป็นบุคคลสาธารณะ การวางตัวของอุปกิตและในช่วงนั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ย่อมที่จะถูกวิจารณ์ได้อยู่แล้ว และในส่วนของตนที่ดำรงตำแหน่งเป็น สส. ศาลจึงมองว่าเป็นการทำหน้าที่อยู่แล้ว ต่อให้ตนไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ประชาชนทั่วไปก็สามารถวิจารณ์บุคคลสาธารณะได้อยู่แล้ว และคดีของตนกับ อุปกิตยกฟ้องไปแล้วทั้งหมด 3 คดี แต่ก็ยังอยู่ในศาลชั้นต้นและยังมีบางคดีที่อยู่ในระหว่างการอุทธรณ์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคำพิพากษาในวันนี้เป็นบรรทัดฐานในการทำหน้าที่ว่าสามารถทำในขอบเขตไหนได้บ้างในการวิพากษ์วิจารณ์ รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนมองว่าเรื่องนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นนโยบายของทุกรัฐบาล และตนสังเกตว่าในคำพิพากษาในคดีก่อนหน้านี้ศาลก็ย้ำว่านโยบายยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกรัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว และการวิพากษ์วิจารณ์ก็สามารถทำได้ในฐานะที่ตนเป็นนักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะสามารถถูกวิจารณ์ได้ แต่มากไปกว่านั้นศาลยืนยันว่าการทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้จำกัดอยู่ในสภาเพียงอย่างเดียว การที่แจ้งข่าวให้กับประชาชน เป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ด้วย ตนจึงมองว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่เราไม่ได้ไปตีกรอบว่าการทำหน้าที่ของ สส. จะต้องอยู่ในสภาเท่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในวันที่ 28 มิถุนายนที่จะถึงนี้จะมีการนัดชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน จุดยืนของพรรคประชาชน และจุดยืนส่วนตัวเป็นอย่างไร รังสิมันต์กล่าวว่า เรื่องชุมนุมทางการเมืองถือว่าเป็นเสรีภาพทางการแสดงออกไม่ว่าผู้ชุมนุมจะเห็นไปในทิศทางใด และตนมองว่ารัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยรับรองหลักการในเรื่องนี้ว่าประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ตนมองว่าผู้คนก็อยากเห็นการชุมนุมในรูปแบบที่ควรจะเป็น
แต่ในขณะเดียวกันการจัดการของภาครัฐตนต้องเน้นย้ำว่ามีความท้าทายและปัญหาหลายอย่างรุมเร้า ตนไม่อยากให้ภาครัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐสร้างเงื่อนไขเรื่องการชุมนุม ตนคิดว่าวันหนึ่งพรรคของตนได้เข้ามาบริหาร ก็ต้องมีกลุ่มผู้เห็นต่างออกมาชุมนุมตามสิทธิเสรีภาพของตนเอง หน้าที่ของภาครัฐจะต้องไปคิดว่าจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ชุมนุมอย่างไร และต้องขีดเส้นว่าการชุมนุมจะต้องมีขอบเขตประมาณไหนที่จะไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
ส่วนตนจะเข้าร่วมปราศรัยหรือไม่นั้นตนยังไม่ทราบว่ามีการเชิญใครไปร่วมปราศรัยบ้าง และการดำเนินการส่วนภาคประชาชนนั้นก็สามารถทำได้เพราะหลายคนก็เป็นอดีตนักการเมืองและประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างยาวนานและสามารถขับเคลื่อนการชุมนุมได้อยู่แล้ว ส่วนของตนขอโฟกัสในเรื่องการทำหน้าที่ของ สส. ในการติดตามเรื่องความมั่นคงต่างๆ เป็นหลักมากกว่า
เมื่อถามว่ากรณีที่พรรคภูมิใจไทยเปิดเผยว่า จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรา 151 ทั้งๆ ที่พรรคประชาชนเป็นพรรคแกนนำของฝ่ายค้าน มองประเด็นนี้อย่างไร รังสิมันต์ กล่าวว่า ก็ต้องมาพูดคุยกัน เพราะพรรคฝ่ายค้านมีหลายพรรคการเมืองไม่ได้มีแค่พรรคประชาชนพรรคเดียว จะต้องมาคุยกันว่าสุดท้ายแล้วจะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไร และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ทางพรรคประชาชนได้มาทำหน้าที่เป็นฝ่ายตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
เราจึงทราบว่าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก และใช้ได้แค่ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในเรื่องที่ทางพรรคคิดไว้อยู่แล้ว แต่ข้อเสนอที่ส่งไปตอนแรกเป็นการเรียกร้องให้ยุบสภาก่อน หากเร่งให้มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วก็จะติดปัญหาตรงที่ไม่สามารถยุบสภาได้ จึงต้องให้รัฐบาลพิจารณาตัวเองว่าควรจะยุบสภาหรือไม่ และสุดท้ายรัฐบาลก็เลือกที่จะไม่ยุบสภาแต่เลือกฟอร์มคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นมาแทน ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าใครเป็นรัฐมนตรีบ้าง มีพรรคบางพรรคแย่งเก้าอี้กันเอง ทั้งๆ ที่ปัญหาที่เกิดขึ้นรัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และประชาชนเกี่ยวกับเรื่องคลิปเสียง
เมื่อรัฐบาลไม่ได้สนใจข้อเรียกร้องของฝ่ายค้านก็คงพิจารณาเพื่อตั้งคำถามไปยังรัฐบาลตั้งแต่การตั้งกระทู้ถาม ไปจนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงอยู่ที่จังหวะของการพูดคุยและช่วงนี้เป็นการปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่สามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว หลังจากนี้จะมีการประชุมกับทุกพรรคร่วมฝ่ายค้าน และตนยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นแน่นอนแต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ขอพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านก่อน ซึ่งไม่ได้มีประเด็นแค่เรื่องคลิปเสียงระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุน เซน อย่างแน่นอน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเตรียมรับมือเรื่องนี้เพราะไม่ได้สนใจ และรับผิดชอบการกระทำของตนเองเลย
ส่วนกรณีที่มีการมองว่าพรรคภูมิใจไทยออกมาบอกแบบนั้นเป็นการปาดหน้าพรรคประชาชนหรือไม่นั้น รังสิมันต์กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าทำไมทางพรรคภูมิใจไทยออกมาชิงแถลงว่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อน ตนมองว่าอาจจะเป็นความหวังดีของทางนั้นว่าอาจจะอยากแสดงความคิดเห็นในตอนนี้ ซึ่งตนไม่ได้มองตรงนั้นเป็นสำคัญ แต่มองว่าถ้าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดก็ต้องเข้ามาพูดคุยกัน