สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เดอะค็อปชาวไทยจำนวนหนึ่งมีความสุข ความอิ่มเอม และปีติไปกับช่วงเวลาและความทรงจำที่เกิดขึ้น
กับการมาเยือนเมืองไทยของคนที่แฟนบอลหงส์แดงเฝ้ารอคอยมาตลอดอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด หรือ สตีวีจี อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูลที่เดินทางมาเพื่อร่วมกิจกรรมในช่วงวันที่ 21-22 มิถุนายนที่ผ่านมา
โดยเฉพาะกิจกรรม Fan Meet ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับเจอร์ราร์ดในประเทศไทย (และอาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาด้วย) ที่มีโอกาสพบกับแฟนๆ โดยตรงแบบนี้
แม้จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการร่วมงานค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะนี่คือซูเปอร์สตาร์ตัวจริงที่ไม่ได้มีโอกาสจะเชิญมาร่วมงานได้ง่ายนัก แต่การจำหน่ายบัตรเข้าร่วมงานก็แทบจะหมดในเวลาอันรวดเร็วทันทีที่มีการประกาศออกมา
นั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าแม้เจอร์ราร์ดจะอำลาลิเวอร์พูลไปนานกว่า 10 ปี และแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการมานานถึง 9 ปีแล้ว
ทำไมทุกคนยังคงรักเขาอยู่?
- หัวใจที่มั่นคง
“It was Liverpool all the time” คือคำตอบของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ถึงเรื่องครั้งสมัยยังเป็นหนึ่งในสุดยอดมิดฟิลด์ของโลก – ที่เหล่าสุดยอดนักเตะระดับตำนานทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ครบเครื่องที่สุด” – เคยมีโอกาสที่จะได้ย้ายออกไปอยู่กับสโมสรใหญ่ทีมอื่นที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นเชลซีในปี 2005 หรือกับเรอัล มาดริด และอีกหลายๆ ทีม แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งเจอร์ราร์ดก็ยืนยันจะอยู่กับลิเวอร์พูลเสมอ (แม้ว่าจะเคยเกือบตัดใจย้ายไปเชลซีเพราะไม่เข้าใจกันกับ ริค แพร์รี ซีอีโอสโมสรในเวลานั้นเรื่องสัญญาฉบับใหม่)
ความรักของเจอร์ราร์ดที่มีต่อลิเวอร์พูล และต่อแฟนบอลเดอะค็อปทุกคนเป็นความรักที่งดงาม เป็นความรักในแบบที่เราชักรู้สึกว่ามันหาได้ยากในเกมฟุตบอลสมัยนี้ และนั่นทำให้ถึงเขาจะไม่ได้อยู่กับลิเวอร์พูลจนจบชีวิตการเล่น เพราะตัดสินใจอำลาทีมไปเล่นในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ สหรัฐอเมริกากับแอลเอ กาแล็คซี แต่ในความรู้สึกของแฟนบอลแล้ว
เจอร์ราร์ด = ลิเวอร์พูลเสมอ
เมื่อเขาไม่เปลี่ยนไป แฟนบอลก็รักไม่เปลี่ยนใจ
- ผู้นำตัวอย่าง
หนึ่งในคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจอร์ราร์ดคือความเป็นผู้นำ (Leadership) ที่ทำให้ เชราร์ อุลลิเยร์ ตัดสินใจที่จะขอปลอกแขนกัปตันทีมมาจาก ซามี ฮูเปีย ซึ่งเป็นเจ้าของในเวลานั้นมาให้กับกองกลางวัย 23 ปีแทน
การตัดสินใจครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเลย เพราะเจอร์ราร์ดพัฒนาตัวเองไม่เพียงในเรื่องของฝีเท้าการเล่นที่เก่งกาจทำได้ทุกอย่างในสนาม แต่รวมถึงการพัฒนาความเป็นผู้นำในตัวที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูล
ท่ามกลางเรื่องเล่ามากมาย หนึ่งในเรื่องเล่าคลาสสิกที่สุดของเจอร์ราร์ดในฐานะกัปตันทีมคือเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่ลิเวอร์พูลเสียท่าโดนเอซี มิลาน ยิงนำห่างถึง 3-0 แทบไม่เหลือความหวังที่จะกลับมา
หลัง Teamtalk ของ ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมในเวลานั้นจบลง เจอร์ราร์ดขอเวลาครู่หนึ่งโดยขอให้ราฟาและทีมงานทุกคนออกจากห้องแต่งตัว เพื่อให้เขาได้พูดเปิดใจกับทุกคนในทีม
เจอร์ราร์ดบอกกับทุกคนในวันนั้นว่า “ฟังนะ ลิเวอร์พูลคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต นี่คือสโมสรของผม นี่คือสิ่งเดียวในชีวิตที่ผมรู้ และผมไม่อยากจะเป็นตัวตลกในเรื่องเล่าของความพ่ายแพ้ในเกมแชมเปียนส์ลีกนัดชิง ถ้าทุกคนยังเคารพผมอยู่ เราช่วยกันลงไปสู้ให้เต็มที่ในสนาม และพยายามกลับสู่เกมให้ได้กัน”
วันนั้นเจอร์ราร์ดเป็นคนโหม่งทำประตูตีไข่แตกให้ลิเวอร์พูลไล่มาเป็น 3-1 พร้อมโยกตำแหน่งไปมาอีกหลายตำแหน่งตลอดทั้งเกมที่เหลือ ทุ่มเทเพื่อทีมและทุกคน เป็นสุดยอดแรงบันดาลใจตลอดกาล
ในการมาเยือนไทย เจอร์ราร์ดเองแม้จะไม่ใช่กัปตันทีมแล้วแต่ก็ยังมีออร่าของความเป็นผู้นำผ่านถ้อยคำและการวางตัว
ราวกับยังสวมปลอกแขนกัปตันเหมือนภาพในวันนั้นอยู่เลย
- อ่อนน้อม ถ่อมตน
แต่ถึงจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เจอร์ราร์ดกลับมีด้านตรงข้ามอย่างความอ่อนน้อมถ่อมตน (Humble) ยกย่องผู้อื่นอยู่ในตัวด้วย
เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เองด้วยตัวคนเดียวทั้งหมด ฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นกันเป็นทีม ถ้าไม่มีเพื่อนร่วมทีมที่ดีก็อาจไม่มีความหมายเลย
นั่นทำให้เจอร์ราร์ดพูดในงาน Fan Meet ด้วยการยกย่องเพื่อนร่วมทีมที่เป็น ‘ลมใต้ปีก’ ให้กับเขา โดยเฉพาะ ดีทมาร์ ฮามันน์ ครูในแดนกลางคนแรก ไปจนถึง ชาบี อลอนโซ และ ฮาเวียร์ มาสเชราโน ในเวลาต่อมาที่ช่วยแบกรับหน้าที่ในเกมรับทำให้เขามีอิสระที่จะสร้างเกมรุกได้อย่างเต็มที่
นี่คือลักษณะของผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยิ่งใหญ่มากเท่าไรก็ยิ่งทำตัวให้เล็กมากเท่านั้น
สิ่งที่คนแบบนี้จะได้รับกลับมาคือการยอมรับนับถือจากผู้คน และดูน่ารักขึ้นมากด้วย
- ทัศนคติของมืออาชีพ
เจอร์ราร์ดเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจรอบด้านมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษยุคโมเดิร์น เพราะสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเกมรุก การยิงไกล การโหม่งทำประตู การวางบอลยาว แทงทะลุช่อง กระชากบอล เปิดโค้ง ไปจนถึงการเข้าเสียบสกัดที่หนักหน่วง และเล่นได้ทุกตำแหน่ง
แต่เก่งขนาดนี้สิ่งที่เจอร์ราร์ดทำเสมอคือการทำตัวให้ดี
เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่จะทำเป็นประจำในช่วงก่อนเกม คำตอบที่ได้คือ “ผมจะกินให้ดีและนอนให้ดี” ซึ่งแม้ฟังดูเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ไม่มีอะไรหวือหวาเลย แต่นี่คือสิ่งที่สะท้อนถึงความมีวินัยในตัวเอง ดูแลสภาพร่างกายของตัวเองอย่างดี ทำให้พร้อมที่สุดเสมอสำหรับการลงสนาม
มันคือความเป็นมืออาชีพ (Professionism) ที่ไม่มีใครสอนได้ แต่ถ้าทำได้แล้วสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้คนได้อีกมากมาย
- เพราะรู้ว่ารัก
จากที่สังเกตเจอร์ราร์ดตลอดช่วงระยะเวลาในกิจกรรม Fan Meet เจอร์ราร์ดให้ความสำคัญกับแฟนๆ อย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่แฟนร้องเพลงเชียร์ประจำตัวให้ ช่วงที่มีกิจกรรมเล่นเกมสนุกๆ กันบนเวที (เจอร์ราร์ดคงไม่คิดว่าชีวิตนี้ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ฮ่าๆ) หรือช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยอย่างการขึ้นไปถ่ายภาพและขอลายเซ็น เจอร์ราร์ดพร้อมจะ ‘เซอร์วิส’ ให้แฟนๆ เสมอ
ถึงแม้จะมีกฎชัดเจนว่า ‘ห้ามกอด’ แต่สำหรับแฟนบอลคนที่เอ่ยปากขอด้วยความสุภาพว่า “ขอหนู/ผม กอดคุณหน่อยได้ไหมคะ/ครับ” เจอร์ราร์ดมีอ้อมกอดให้กับทุกคนเสมอ
เพราะสำหรับเขาแล้ว เขารู้ดีว่าความรักที่ทุกคนมีให้มันมากมายขนาดไหน บรรยากาศในงานนั้นอบอวลไปด้วยความรักที่อยู่ในอากาศ และสามารถสัมผัสได้โดยไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามันเลย
ดังนั้นเจอร์ราร์ดจึงมอบความรักและความชื่นชมกลับในน้ำใจ ไมตรี และความรู้สึกที่แฟนๆ ทุกคนมีให้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน (โดยเฉพาะตอนที่แฟนเพลงร้องเพลงประจำตัวให้ เจอร์ราร์ดขอบคุณจากใจจริง)
การพบกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการในฐานะ ‘ตำนาน’ ระหว่าง สตีวีจี กับเดอะค็อปชาวไทยจึงสวยงาม
โดยที่หลังจากวันนี้ไป ความรักที่มีให้กันและกันนั้น นอกจากจะไม่ลดลงไปจากเดิม
มันน่าจะเพิ่มเติมขึ้นอีกมากมายด้วย
My hero, My Captain
Our Stevie-G 🙂