×

เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2025 อาจไม่รอด ‘ภาวะถดถอย’ คำเตือนดังๆ จาก 2 แบงก์ใหญ่

19.06.2025
  • LOADING...
กราฟแนวโน้ม GDP ไทยรายไตรมาสปี 2025 จาก SCB EIC และ KResearch ชี้เศรษฐกิจเสี่ยงติดลบต่อเนื่อง

คำเตือนว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเข้าสู่ ‘ภาวะเศรษฐกิจถดถอย’ กำลัง ‘ดัง’ ขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดศูนย์วิจัยเศรษฐกิจจาก 2 แบงก์ใหญ่ อย่างไทยพาณิชย์ (SCB EIC) และกสิกรไทย (KResearch) ก็ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงนี้ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ท่ามกลางความกังวลที่กำลังก่อมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมว่า ประเทศไทยอาจเจอกับปัญหา ‘เสถียรภาพทางการเมือง’ ซ้ำ

 

ในงานแถลงข่าว ‘มุมมองเศรษฐกิจไทย ประจำไตรมาส 2 ปี 2568’ ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน SCB EIC ยัง ‘คง’ มุมมองประมาณการ GDP ไทยในปี 2025 ที่ 1.5% และที่ 1.4% ในปี 2026 (กรณีฐาน) จากปัจจัยสงครามการค้า แผลเป็นเศรษฐกิจในภาคครัวเรือนและ SMEs ที่มีอยู่เดิม และข้อจำกัดด้านนโยบายการคลัง 

 

โดย SCB EIC ยังกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้จะโตเฉลี่ยต่ำกว่า 1% และมีโอกาสเข้าสู่ Technical Recession จากการส่งออกและการลงทุนที่จะแผ่วลง ขณะที่แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวจะน้อยกว่าคาด

 

ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) คือ ภาวะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ติดลบ QoQ ติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส 

 

ในกรณีฐาน SCB EIC ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยรายไตรมาส ดังนี้

 

  • ไตรมาสที่ 1: ขยายตัว 3.1%YoY และ ขยายตัว 0.7%QoQ (ตัวเลขจริง)
  • ไตรมาสที่ 2: ขยายตัว 2.2%YoY และ 0.0%QoQ
  • ไตรมาสที่ 3: ขยายตัว 0.6%YoY และติดลบ 0.4%QoQ
  • ไตรมาสที่ 4: ขยายตัว 0.2%YoY และติดลบ 0.4%QoQ

 

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า Momentum เศรษฐกิจไทยปี 2025 จะลดลงมากในครึ่งปีหลัง และอาจเกิด Technical Recession

 

กราฟแนวโน้ม GDP ไทยรายไตรมาสปี 2025 จาก SCB EIC และ KResearch ชี้เศรษฐกิจเสี่ยงติดลบต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ ตามกรณีฐาน (Baseline) ของ SCB EIC หมายถึงฉากทัศน์ที่ไทยสามารถเจรจาลดภาษีได้บ้าง กล่าวคือโดนเรียกเก็บ Universal tariff ที่ 10% มีการลด Reciprocal tariffs ลงครึ่งหนึ่งจากอัตราที่ประกาศไว้ และมีการลด Specific tariffs บางรายการ 

 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีแย่กว่า (Worse) ของ SCB EIC หมายถึงฉากทัศน์ที่ไทยเจรจาล้มเหลว กล่าวคือโดนเรียกเก็บ tariffทุกประเภทเต็มอัตราตามที่ประกาศวัน Liberation Day ขณะที่ ความขัดแย้งในตะวันออกกลางลุกลามทวีความรุนแรง โดยในกรณีนี้ GDP ไทยปี 2025 คาดว่า เติบโตต่ำที่ 0.8%

 

ส่วนในกรณีดีกว่า (Better) ของ SCB EIC หมายถึงฉากทัศน์ที่ไทยเจรจาลุล่วง โดยโดนเก็บแค่ Universal tariff ที่ 10% โดยในกรณีนี้ GDP ไทยปี 2025 คาดว่า เติบโต 2%

 

กสิกรไทยเตือนไทยเข้าสู่ Technical Recession

 

ขณะที่เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เปิดเผยว่า มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังการชะลอสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงมุมมองเศรษฐกิจไทยที่โต 1.4% ในกรณีฐาน พร้อมเตือนว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคด้วย

 

โดยในกรณีฐานของ KResearch ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยรายไตรมาส ดังนี้

  • ไตรมาสที่ 1: ขยายตัว 3.1%YoY และ ขยายตัว 0.7%QoQ (ตัวเลขจริง)
  • ไตรมาสที่ 2: ขยายตัว 2.3%YoY และขยายตัว 0.1%QoQ
  • ไตรมาสที่ 3: ขยายตัว 0.7%YoY และติดลบ 0.5%QoQ
  • ไตรมาสที่ 4: ติดลบ 0.4 %YoY และติดลบ 0.7%QoQ

 

 

ทำอย่างไร? ถึงจะเลี่ยง Technical Recession ได้

 

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน และ SCB EIC กล่าวว่า เพื่อหลีกเลี่ยง Technical Recession รัฐบาลอาจต้องมีมาตรการออกมาเสริม โดยจะเห็นได้ว่า ประมาณการเศรษฐกิจปัจจุบันของ SCB EIC ที่รวมงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาทเข้าไปแล้วก็ ‘อาจจะไม่พอ’

 

โดยมาตรการเสริมที่ว่า อาจจะไม่ต้องใช้เงินงบประมาณก็ได้ แต่ต้องเป็นมาตรการที่ทำให้เห็นว่า ภาครัฐกำลังจัดการแก้ปัญหาอยู่ มีทิศทาง (Direction) ที่ชัดเจน เนื่องจากปัจจุบัน ความต้องการในประเทศ (Domestic Demand) เริ่มอ่อนตัวลง (Soft) จากสัญญาณต่างๆ ที่เห็นไม่ว่า จะเป็นยอดการปิดกิจการ ยอดสินเชื่อหดตัว ความเชื่อมั่นต่ำสุดในรอบหลายปี 

 

หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลต้องคิดคือ ทำอย่างไรให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Credit Garantee Scheme เพื่อให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งนโยบายการคลังก็อาจต้องมีการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นเพิ่มด้วย เนื่องจาก เม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาทคาดว่าจะไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบัน ประชาชนบางกลุ่มก็ยังต้องการได้รับความช่วยเหลือระยะสั้นอยู่เช่นกัน 

 

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็กล่าวว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย

 

ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ (Local Content และ Made in Thailand) รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising