×

เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ

15.06.2025
  • LOADING...
ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจในยุคสงครามการค้า สะท้อนความเสี่ยงของนโยบาย

ในเดือนสิงหาคมปี 2531 อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ‘อย่างแท้จริง’ คือ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ประกาศนโยบาย ‘เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า’ ซึ่งเป็นนโยบายที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการทหารกับประเทศกัมพูชาและส่งเสริมการทำธุรกิจร่วมกันกับประเทศในกลุ่มอินโดจีน สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านที่มักมีเหตุกระทบกระทั่งและรบกันที่เขตชายแดนมาตลอด

 

พล.อ. ชาติชาย ดำรงตำแหน่งนายกฯ ประมาณ 2 ปีครึ่ง และเศรษฐกิจในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2531 เติบโตเกิน 10% ต่อปี ถึง 3 ปีติดต่อกัน กลายเป็นประเทศที่เติบโต ‘สูงที่สุดในโลก’

 

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสะท้อนการเติบโตของ GDP และการเปลี่ยนแปลงนโยบายและการเมืองของประเทศไทย โดยการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจากประมาณ 450 จุดในช่วงที่มีการประกาศนโยบายเป็นกว่า 1,700 จุด ในช่วงปี 2537 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 4 เท่าในเวลา 5 ปีครึ่งเท่ากับผลตอบแทนทบต้นประมาณ 28% ต่อปี และกลายเป็น ‘ยุคทอง’ ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย ที่ร้อนแรงเกินไปจนต้องประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540

 

เวลาผ่านมา 37 ปีแล้ว ขณะนี้ทุกอย่างในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถดถอยลงโดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ – และความคิดหรือนโยบายเกี่ยวกับการเมืองการค้าและความสัมพันธ์กับนานาชาติรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งทางทหารกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และดูเหมือนว่าเราไม่ได้มีความคิดที่จะแก้ไขให้สงบลง คนหลายกลุ่มเรียกร้องให้ไทย ‘รบ’

 

ถ้าจะเปรียบไปก็คล้ายๆ กับว่าเรากำลัง ‘เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ’ ในยามที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นกำลังถดถอยลงอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน

 

บางทีผมก็คิดว่าโลกนี้ก็มี ‘วัฏจักร’ ของตัวเอง ช่วงที่ พล.อ. ชาติชาย ประกาศนโยบายของประเทศไทยนั้น โลกเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สงบสุขขึ้น สงครามกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย ประเทศหลักๆ ส่วนใหญ่กำลังเปิดประเทศทำการค้าขายกันอย่างกว้างขวาง อุดมการณ์ทางการเมืองเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความคิด ‘ชาตินิยม’ หรือ ‘สังคมนิยม’ ที่พูดว่าเป็น ‘ซ้าย’ หรือ ‘ขวา’ เริ่ม ‘ตกยุค’ มีแต่การพัฒนาการทางเศรษฐกิจให้เติบโตโดยอาศัยระบบทุนนิยมและการเปิดประเทศค้าขายกันอย่างเสรีทั่วโลกเท่านั้นที่เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จและสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับมวลมนุษยชาติ

 

แต่แล้ว ‘วัฏจักร’ แห่งความรุ่งเรือง ก็เริ่มเปลี่ยนไป ย้อนหลังไปหลายปี โลกก็เริ่มมีสงครามใหญ่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่สงครามยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งดำเนินต่อมาถึงวันนี้ก็กว่า 3 ปีแล้วที่ยังหาจุดจบไม่ได้ ต่อมาก็เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และล่าสุดก็คือ สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เพิ่งโจมตีทางอากาศต่อกันเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร

 

นอกจากสงครามจริงๆ แบบใช้อาวุธห้ำหั่นกันแล้ว โลกยังเริ่มเห็น ‘สงครามยุคใหม่’ ที่รัฐชาติต่อสู้กันด้วยการค้าและการแข่งขันกันทางด้านเทคโนโลยี เพราะการบอกว่าใครหรือชาติไหนจะเป็นผู้ชนะและมีอำนาจในโลกยุคใหม่นั้น ระดับของความสามารถทางเศรษฐกิจหรือ GDP และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คือสิ่งที่จะตัดสิน และนี่ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันคือ ‘สงครามการค้า’ ที่อาศัยการตั้งหรือกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะทำให้ประเทศได้เปรียบในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่จะทำให้ได้ชัยชนะและเป็นมหาอำนาจของโลกต่อไปในอนาคต

 

สงครามการค้าระหว่างประเทศนั้น สุดท้ายก็ต้องสะท้อนไปยังเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ว่าที่จริง ช่วงที่ ‘เริ่มประกาศสงคราม’ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ดัชนีหุ้นหลักๆ ของอเมริกาก็ตกลงมาอย่างแรง ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า สงครามนั้น มีแต่จะทำลายล้าง เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจรุนแรง โอกาสที่ทำสงครามแล้วชนะและทำให้ประเทศร่ำรวยขึ้นซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยใน ‘โลกยุคใหม่’ พูดง่ายๆ สงครามในโลกยุคใหม่นั้น มีแต่ผู้เสียหายทั้งฝ่ายผู้แพ้และผู้ชนะ ไม่เหมือนในอดีตที่ผู้ชนะมักจะร่ำรวยจากการได้ครอบครองทรัพยากรและความมั่งคั่งจากผู้แพ้

 

อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ หลังจากการประกาศสงครามการค้า ดัชนีหุ้นของอเมริกาเริ่มจะปรับตัวกลับขึ้นมาบ้าง หุ้นหลักๆ บางตัวกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิมก่อนที่จะตก แต่หลายตัวก็ยังแย่อยู่มาก อาทิเช่นหุ้นอย่างเทสลาที่ประสบกับการตกต่ำลงของยอดขายและกำไรที่เป็นผลส่วนหนึ่งจากเรื่องของสงครามการค้า 

 

เราคงต้องดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเมื่อสงครามการค้าดำเนินต่อไปยาวนานพอและเริ่มเห็นความเสียหายที่จะเกิดขึ้นของคู่สงครามแต่ละฝ่าย

 

มองในภาพที่เล็กลงมาในระดับอุตสาหกรรมและตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เราก็เริ่มเห็น ‘สงคราม’ ที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย เริ่มตั้งแต่ ‘สงครามรถไฟฟ้า’ ที่มีการประกาศลดราคาขายลงแบบ ‘บ้าคลั่ง’ คืออาจจะต่ำกว่าต้นทุนโดยเฉพาะในรถจากจีน ซึ่งมองดูแล้ว การลดราคาแบบนั้นก็จะต้องโดนคู่แข่งประกาศลดราคาตามเพื่อรักษาตลาด สุดท้าย ทุกคนก็เสียหายกันหมดโดยไม่มีใครชนะ และสุดท้ายก็จะมีบริษัทหรือยี่ห้อที่ต้อง ‘เจ๊ง’ เพราะอ่อนแอกว่า

 

ในประเทศไทยเองนั้น เราก็มี ‘สงครามส่งด่วน’ ซึ่งก็เป็นสงครามระหว่างผู้ให้บริการส่งพัสดุหรือสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตสูงมาก และแทบทุกบริษัทต่างก็พยายามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเพื่อที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการ ‘ลดราคาค่าส่งอย่างบ้าระห่ำ’ ผลก็คือ ทุกคนเจ็บหนัก ขาดทุนกันมากมายและบางรายก็ ‘เจ๊ง’ ไปเลย

 

ในภาพยนตร์ซีรีส์ที่กำลังดังมากในเน็ตฟลิกซ์เรื่อง ‘สงครามส่งด่วน’ นั้น อาจจะเห็นว่ามี ‘ผู้ชนะ’ ที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป แต่ในชีวิตจริงผมคิดว่าทุกคนต่างก็เจ็บ ‘ปางตาย’ และอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดแต่ว่า สงครามนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะทำให้ทุกคนเจ็บและยากลำบาก ซึ่งในที่สุดก็มักจะสะท้อนลงมาที่หุ้น

 

เช่นเดียวกัน สงครามล่าสุดอีกกรณีหนึ่งที่ประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือสิ่งที่สื่อพาดหัวกันว่าเป็น ‘สงครามสุกี้’ ซึ่งก็เป็นการประกาศลดราคาอาหารโดยการทำโปรโมชั่นขายสุกี้แบบบุฟเฟต์ที่ราคาต่ำมากของหลายบริษัท ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้ปรับลดราคาต่างก็เหนื่อยกันไปหมด เพราะขายอาหารได้น้อยลงมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อาหารภัตตาคารนั้น เป็นคู่แข่งกันทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ขายสุกี้ก็ถูกกระทบไปด้วย และหลายร้านก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องทำโปรโมชั่น สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นสงครามอาหารภัตตาคาร ที่อาจจะทำให้บริษัทที่อ่อนแอต้อง ‘เจ๊ง’ และออกจากตลาดไป

 

ข้อสรุปของผมโดยรวมก็คือ ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะของความปั่นป่วน โลกมุ่งเข้าสู่การสู้รบแข่งขันกันรุนแรงขึ้นในทุกด้าน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือเป็นหายนะทั้งฝ่ายที่แพ้หรือชนะ มีโอกาสน้อยมากที่ผู้ชนะจะ ‘กินรวบ’ หรือได้ประโยชน์จากสงคราม ในขณะที่ผู้แพ้นั้นมักจะเจ็บหนัก บางทีถึงตาย ดังนั้น หากมองในสายตาของนักลงทุนแล้ว การลงทุนในสถานการณ์ของสงครามจึงเป็นความเสี่ยงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรเป็นและมีโอกาสเสียหายหนัก ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะหลีกเลี่ยงหรือรอ

 

ภาพ: Douglas Rissing / Getty Images 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising