วันนี้ (13 มิถุนายน) จากกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวน กรณีความปรากฏการบังคับโทษจำคุกทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยทนายผู้ได้รับมอบอำนาจจากทักษิณ (ลูกความ) ยืนยันว่าพร้อมเดินทางไปศาลฎีกาเพื่อชี้แจงรายละเอียด ขณะที่ทักษิณไม่ได้เดินทางไปศาลฎีกา เนื่องด้วยศาลฎีกาไม่ได้มีหมายเรียกถึง
ต่อมาในแวดวงนักวิชาการ นักกฎหมายมหาชน กูรูการเมือง ฯลฯ มีการวิเคราะห์ฉากทัศน์ถึงการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ว่าอาจเป็นคดีประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2 ต่อจากกรณีของจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. ซึ่งศาลไต่สวนใหม่จากคำร้องของทนายความ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (อดีตนายกรัฐมนตรี) ว่ายังจำคุกไม่ครบ เหลืออีก 11 เดือนเศษ เพราะต้องนับโทษต่อกัน มิใช่นับโทษพร้อมกัน
ดังนั้น แม้จตุพรพ้นโทษไปแล้ว 3 ปี และได้รับใบบริสุทธิ์แล้ว แต่เมื่อศาลไต่สวนเสร็จสิ้น จึงออกหมายขังให้กลับไปจำคุกใหม่ในคดีเดิม ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากกรมราชทัณฑ์ว่า สำหรับกรมราชทัณฑ์ หากมองเป็นกรณีก่อนหน้านี้ที่ให้มีการกลับไปจำคุกใหม่ในคดีเดิมของจตุพร ตามระยะเวลาต้องโทษที่เหลือตามที่ศาลได้ไต่สวน
หากศาลออกหมายใดมายังจำเลย/ผู้ต้องหา ราชทัณฑ์ก็มีหน้าที่ปฏิบัติตาม ไม่ว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นหมายขังระหว่างพิจารณาคดี หรือหมายจำคุก หรือหมายปล่อย หรือเบิกตัวจากเรือนจำ ฯลฯ เพราะกรมราชทัณฑ์จะรับหน้าที่ในการบังคับโทษและบริหารโทษ เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อบุคคลนั้น ไม่สามารถดำเนินการนอกเหนือคำสั่งของศาลได้
ส่วนในกรณีของทักษิณนั้น ราชทัณฑ์มีหน้าที่รอคำสั่งของศาลฎีกาฯ เท่านั้น ศาลจะสั่งว่าอย่างไรราชทัณฑ์ก็ต้องปฏิบัติตาม เช่น หากศาลมีคำสั่งให้กลับไปจำคุกระยะเวลาเท่าใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ต้องคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำฯ
ทั้งนี้ หากเป็นกรณีหมายขังของผู้ต้องขังเด็ดขาด จะไม่สามารถยื่นขอปล่อยตัวในชั้นศาลได้ แต่ถ้าหากบุคคลนั้น เป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี จึงจะสามารถยื่นคำร้องขอศาลปล่อยตัวในชั้นศาลได้