วันนี้ (6 มิถุนายน) กฤช ศิลปชัย สส. ระยอง พรรคประชาชน เปิดเผยถึงกรณีมีรายงานของกรมควบคุมมลพิษ ในการตรวจสอบท่อขนส่งน้ำมัน SBM 2 ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ที่เกิดการหลุดระหว่างทำการขนถ่าย บริเวณอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นน้ำมันดิบชนิด Murban Oil รั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมันดิบ VLCC ขนาด 20 ตัน (Tier 1) ซึ่งเป็นเขตนอกการท่าเรือ ในจุดเกิดเหตุนั้นห่างจากแผ่นดินประมาณ 13 กม. และห่างจากเกาะสีชังประมาณ 9 กม.
กฤชระบุว่า เท่าที่รับทราบ ขณะนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการหยุดการรั่วไหลได้ 100% พร้อมล้อมบูมจุดที่เกิดเหตุ และมีการฉีดสารขจัดคราบน้ำมันป้องกันไว้ในเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลว่าหากมีการฉีดสารขจัดคราบน้ำมันมากเกินไปก็จะเกิดมลพิษต่อทะเล เพราะสสารไม่มีวันหายไป ดังนั้นการฉีดสารขจัดคราบเช่นนี้ก็จะทำให้คราบน้ำมันที่เกาะอยู่บนผิวน้ำจมลงไปเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นการซ่อนน้ำมันมากกว่า
กฤชกล่าวต่อไปว่า เมื่อเกิดการรั่วแล้วดูดน้ำมันออกไปได้เท่าไหนก็เท่านั้น แต่เรื่องที่น้ำมันจะเข้าฝั่งก็ต้องเตรียมการจัดเก็บให้ดี นำออกไปจากทะเลให้ได้ แต่ก็ไม่อยากให้ใช้สารเคมีกดให้จม เพราะสุดท้ายก็จะพัดกลับขึ้นฝั่งอยู่ดี และการที่สารพิษยังคงอยู่ในทะเล ก็จะทำให้ส่งผลกระทบมากกว่า เช่น เรื่องสัตว์น้ำ
โดยคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและจัดทำมาตรการป้องกันแก้ไขฟื้นฟู และเยียวยา กรณีน้ำมันรั่วไหลทางทะเล และมลพิษอื่นๆ จากภาคอุตสาหกรรม พร้อมทีมงาน จะมีการลงพื้นที่เพื่อติดตามในวันพรุ่งนี้ (7 มิถุนายน)
ทั้งนี้ กฤชฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งมีหน้าที่รักษาทรัพยากรทางทะเลให้กับประเทศ เนื่องจากหากเทียบกับหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม้จะมีการดำเนินคดีตามความผิดของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เดินเรือในน่านน้ำไทย เรื่องการทำสารเคมีตกหล่นในแหล่งน้ำสาธารณะ แต่กลับยังไม่เคยมีการคิดคำนวณความเสียหายที่เกิดขึ้น และการฟ้องร้องกับบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง สุดท้ายก็ไปจบที่การไกล่เกลี่ย เพราะภาครัฐมีการประนีประนอมจนเกินไป จึงควรต้องเอาจริงเอาจังได้แล้ว ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบเสียที
กฤชยกตัวอย่าง การที่บริษัทไทยออยล์ซึ่งเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ในปี 2566 ที่เพิ่งได้รับการอนุญาตให้เปิดดำเนินการก็ยังเกิดการรั่วอีก แสดงว่าภาครัฐมีการกำกับดูแลที่ไม่ดี หรือไม่จริงจังมากพอ ตลอดจนการสืบหาสาเหตุก็ควรจะตอบประชาชนให้ได้ เพราะทุกครั้งที่มีน้ำมันรั่ว เราจะเห็นความสวิงของตัวเลขอยู่ตลอดเวลา ลดลงเรื่อยๆ จนน่าสังเกตว่าเป็นความพยายามกดตัวเลขเพื่อลดระดับความรุนแรงให้คงไว้ที่ Tier 2 เพื่อจะจัดการภายในประเทศหรือไม่ และในการตรวจสอบแต่ละครั้งก็จะต้องมีที่มาที่ไป ภาครัฐควรมีการตรวจสอบบริษัทในทางกลับกันด้วย ว่าข้อมูลที่ได้รับมาถูกต้องหรือไม่ ไม่เช่นนั้นการประเมินผลเสียในส่วนอื่นๆ ก็จะผิดไปด้วยทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการประเมินของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เนื่องด้วยน้ำลง พบว่าคราบน้ำมันดิบมีแนวทางการเคลื่อนที่ไปทางเกาะไผ่ ไม่ได้เคลื่อนไปทางเกาะสีชัง
