×

ภัณฑิลเผย สัปดาห์หน้ายื่นถอดถอนพิเชษฐ์พ้นรองประธานสภา เหตุโยกย้ายงบส่อทุจริต

โดย THE STANDARD TEAM
06.06.2025
  • LOADING...

วันนี้ (6 มิถุนายน) ที่อาคารอนาคตใหม่ ภัณฑิล น่วมเจิม สส. กทม. พรรคประชาชน แถลงกรณียื่นเรื่องถอดถอน พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ออกจากตำแหน่ง โดยเปิดเผยว่า ในช่วงก่อนการจัดทำพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณประจำปี 2568 พิเชษฐ์มีความตั้งใจจะนำงบประมาณแผ่นดินไปแจกจ่ายให้กลุ่มเป้าหมายหรือฐานเสียงที่สนับสนุนตัวเอง ในรูปแบบการแจกทุนหรือเงินสนับสนุนโครงการ จึงได้มอบหมายให้ที่ปรึกษายกร่างทั้งหมด 4โครงการ มูลค่ารวม 443 ล้านบาท ทำให้ฝ่ายข้าราชการเกิดความหนักใจจึงได้มีการขอความเห็นในสำนักต่างๆ ในสภา นำมาสู่ข้อสรุปว่าไม่สามารถจัดทำโครงการได้เพราะขัดข้อกฎหมายหลายข้อ

 

ต่อมา พิเชษฐ์จึงสั่งการให้คณะทำงานของตัวเองปรับแบบคำของบประมาณใหม่โดยให้เขียนเป็นโครงการสัมมนา 3 โครงการ ซึ่งมีความแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น จำนวนงานสัมมนาที่โครงการตั้งเป้าไว้สูงจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ รวมตามคำขอต้องจัดงานสัมมนาทั้งหมด 2,294 ครั้งในเวลาหนึ่งปี โดยของบประมาณ 350 ล้านบาท แต่ถูกทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดงบเหลือ 83 ล้านบาท สร้างความไม่พอใจให้พิเชษฐ์มีการขอกดดันให้แปรงบเพิ่มจนได้งบมา 178 ล้านบาท

 

“ได้รับการบอกกล่าวจากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 ว่าพิเชษฐ์ได้เข้าไปในห้องประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญงบฯ ด้วยตัวเอง ในขณะที่มีการพิจารณางบที่ตัวเองชงขึ้นมา โดยธรรมเนียมปฏิบัติเป็นสิ่งที่ต้องห้าม” ภัณฑิลกล่าวว่า

 

ภัณฑิลกล่าวว่า หลังจากโครงการอนุมัติแล้ว ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมีการจัดทำคำขอที่แสดงความต้องการไปถึงสภา เพื่อให้จัดสัมมนาในพื้นที่จำนวนมาก ทั้งที่ยังไม่มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่เป็นการทั่วไป รวมถึงเอกสารคำขอมีการพิมพ์มาเหมือนกันทุกตัวอักษร เว้นไว้ให้กรอกวันที่ชื่อที่อยู่ที่ต่างกันเท่านั้น ยอดการของบทั้งหมดถึงจะมีการตัดในชั้นกรรมาธิการก็ยังต้องจัดสัมมนามากกว่า 1,300 ครั้งต่อปีหรือวันละเกือบ 4 งานอยู่ดี ซึ่งเราทราบกันอยู่ว่าไม่สามารถทำได้ จึงสรุปได้ว่าการของบอบรมทั้ง 3โครงการเป็นการขอตั้งโครงการที่รู้อยู่แล้วว่า ไม่สามารถใช้งบตามวัตถุประสงค์ได้โดยมีความตั้งใจจะโยกงบไปใช้ในโครงการอื่นตั้งแต่แรก

 

ทั้งนี้ มีหลักฐานสำคัญคือเอกสารของสำนักรักษาความปลอดภัยที่ระบุว่า พิเชษฐ์มีดำริให้มีกองเกียรติยศของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาเพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ จึงจะจัดโครงการฝึกอบรมโดยใช้งบ 3.5 แสนบาท จึงโยกงบจากโครงการอื่นที่อยู่ในดุลยพินิจของตัวเองมาใช้ และยังมีอีกหลายโครงการที่พิเชษฐ์กระทำในลักษณะดังกล่าว

 

นายภัณฑิล กล่าวว่าในการจัดงบประมาณปี 69 นายพิเชษฐ์ได้มีการของบเพิ่มเป็น 593ล้านบาท ซึ่งในเนื้อหามีการของบเหมือนเดิมคือจัดกิจกรรมสัมมนาแต่จำนวนมากขึ้น เป้าหมายในการจัดโครงการมากขึ้น ซึ่งการใช้งบประมาณที่ส่อทุจริตเช่นนี้เราต้องรีบยับยั้งก่อนที่เกิดความเสียหายมากกว่านี้ ตนจึงต้องการยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิเชษฐ์ เข้าข่ายการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา144 วรรคสองหรือไม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรม ขณะนี้มีการรวบรวมรายชื่อจากสส. และอยู่ในขั้นตอนการเตรียมเอกสาร โดยคาดว่าจะมีการดำเนินการภายในสัปดาห์หน้า

 

ภัณฑิลกล่าวว่า ส่วนที่จะต้องมีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนนั้น เนื่องจากกังวลว่ากระบวนการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ค่อนข้างใช้เวลา จึงเป็นห่วงว่าทั้งเจ้าหน้าที่สภาเอง และผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพิเชษฐ์ จะได้รับผลกระทบจากการใช้งบประมาณแบบนี้ จึงต้องรีบจัดการ

 

โดยก่อนหน้านี้ที่พิเชษฐ์เคยนัดภัณฑิลเดินดูพื้นที่ต่างๆ ของอาคารรัฐสภานั้น ภัณฑิลระบุว่า ในฐานะ สส. ที่ใช้สภาอยู่แล้ว รู้จักทุกซอกทุกมุม เดินเองได้โดยไม่ต้องขอพิเชษฐ์ และไม่จำเป็นต้องมาเป็นไกด์ ซึ่งหลังจากตนเองอภิปรายในสภา พิเชษฐ์ได้เดินมาหาที่ห้องอาหาร โชคดีว่ามีสมาชิกหลายคนอยู่ตรงนั้น ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ ส่วนความพยายามติดต่อส่วนตัวอื่นๆ ต้องพูดตามตรงว่า ในเมื่อพรรคประชาชนจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เราจะไปคุยอะไรกันคงไม่เหมาะ

 

“ไม่ใช่เรื่องของจริยธรรม แต่เป็นเรื่องการทุจริต ซึ่งผมก็อยากทราบว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร เพราะเรื่องสามัญสำนึก ประชาชนได้ตัดสินแล้วว่า การใช้งบประมาณแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ประชาชน เป็นเรื่องการทุจริต เอางบลงพื้นที่ตัวเอง ทั้งที่ฝ่ายนิติบัญญัติเรามีหน้าที่ในการออกกติกา ตรวจสอบงบประมาณ ถ้าเราชงเอง ตบเองก็ไม่ได้” ภัณฑิลกล่าว

 

ภัณฑิลกล่าวว่า นี่ไม่ใช่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย แต่เป็นการเอาเงินเข้าตัวเอง ต้องการมีงบกลางของตัวเองเอาไว้ใช้ การให้สัมภาษณ์ของพิเชษฐ์ที่ระบุถึงเรื่องศักดิ์ศรี หรือเปรียบเทียบกับส่วนอื่น ว่าสภาได้แค่ 8 พันล้านบาท ก็อยู่ที่หลักการว่าเงินที่ได้มานั้น ก็เป็นเงินภาษีของประชาชน จะนำไปใช้แบบนี้ไม่ได้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising