×

ลูกา โมดริช จากการเซ็นสัญญายอดแย่ สู่ตำนานของเรอัล มาดริด

23.05.2025
  • LOADING...
luka-modric-real-madrid-legacy

วันที่เขาประกาศอำลาถิ่นซานติอาโกเบร์นาเบว หลายคนรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ 

 

เพราะสำหรับ ลูกา โมดริช ในสายตามาดริดิสตา เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่มิดฟิลด์ตัวจ่ายบอลหรือผู้บัญชาการเกม แต่เขาคือ ‘หัวใจ’ ของเรอัล มาดริด มาตลอด 13 ปี 

 

และเชื่อว่าชื่อของเขาจะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างไม่มีวันเลือน แม้ตัวจะไม่ได้อยู่ในเบร์นาเบวอีกนับตั้งแต่ฤดูกาลหน้า

 

ย้อนกลับไปในปี 2012 ตอนที่เรอัล มาดริด คว้าตัวโมดริชมาจากท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ด้วยค่าตัวราว 30 ล้านปอนด์ เขาคือผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มเด่นกับทั้งสเปอร์สและทีมชาติโครเอเชีย แต่การปรับตัวในสเปนไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ในระบบของ โชเซ มูรินโญ กุนซือฝีปากกล้าที่คุมทัพในเวลานั้น โมดริชถูกใช้งานเป็นหมายเลข 10 ในแผน 4-2-3-1 ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของเขา ผลงานที่ได้จากเขาจึงจืดชืด ไม่สามารถสร้างตัวเลขสถิติในสนามอย่างที่แฟนบอลคาดหวังได้เลย

 

เมื่อถึงช่วงคริสต์มาสของฤดูกาลนั้น เขาทำได้เพียง 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ และสื่อดังของสเปนอย่าง Marca ถึงกับจัดโพลจากแฟนบอลให้เขาเป็น ‘การเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของลาลีกา’ ในฤดูกาลนั้น โดยได้คะแนนโหวตสูงถึง 32% นำหน้านักเตะอย่าง อเล็กซ์ ซง ของบาร์เซโลนา

 

แต่นั่นกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนในเส้นทางอาชีพของเขา

 

ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ ที่มาดริดแพ้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยับเยิน 4-1 ในเลกแรก โมดริชถูกใช้ในลงเล่นบนตำแหน่งตัวรุก ไม่มีอิทธิพลใดๆ ในเกม แต่เมื่อมูรินโญปรับให้เขาถอยลงมายืนต่ำข้าง ชาบี อลอนโซ ในเลกที่ 2 เขาสามารถคุมจังหวะเกมได้หมด เล่นเหมือนเจ้าของสนาม ทำสถิติผ่านบอลสำเร็จมากที่สุดในนัดนั้น และพาทีมชนะ 2-0 (แต่ยังตกรอบเพราะสกอร์รวมแพ้ 3-4)

 

จากวันนั้น ชัดเจนว่าโมดริชไม่ใช่ ‘เพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10’ แบบโอซิล แต่เขาคือ ‘มันสมองในแดนกลาง’ ที่หาตัวจับยาก

 

การมาของ คาร์โล อันเชลอตติ ในฤดูกาลถัดมา พร้อมการปรับระบบสู่ 4-3-3 ทำให้เขาได้เล่นในบทบาทที่ถนัด ร่วมกับ โทนี โครส และ คาเซมิโร จนกลายเป็น ‘สามประสานแดนกลางในตำนาน’ ที่พาเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรปอย่างถล่มทลาย

 

“ผมมาเรอัล มาดริด ด้วยความหวังว่าจะได้ใส่เสื้อทีมที่ดีที่สุดในโลก และความทะเยอทะยานอยากประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นเกินความคาดหมาย” โมดริชเคยกล่าวไว้

 

จากคนที่เคยถูกสื่อในสเปนยกให้เป็น ‘การเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของลาลีกาในฤดูกาลนั้น’ เพียงไม่กี่ปีให้หลัง ใครจะคิดว่าดาวเตะเลือดโครแอตผู้นั้นจะกลายเป็น ‘หัวใจ’ ของทีม และเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกลูกหนัง เป็นหนึ่งในนักเตะที่คว้าแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์เรอัล มาดริด

 

เรื่องนี้สถิติไม่เคยโกหกใคร เพราะความสำเร็จของเขากับราชันชุดขาว ถูกจัดไว้เทียบชั้นระดับตำนานอย่างไรข้อสงสัย

 

13 ฤดูกาล, 590 นัด, 43 ประตู, 95 แอสซิสต์ กับอีก 28 แชมป์

 

– 6 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

– 6 สโมสรโลก

– 5 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ

– 4 ลาลีกา

– 2 โกปาเดลเรย์

– 5 สแปนิชซูเปอร์คัพ

 

นั่นทำให้โมดริชกลายเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรอัล มาดริด และเป็น 1 ใน 5 คนในโลกที่เคยคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ถึง 6 สมัย

 

โมดริช ไม่ใช่มิดฟิลด์ประเภทพลังถึกวิ่งไม่มีหมด หรือจอมเทคนิคที่ชอบโชว์เหนือ แต่เขาคือนักฟุตบอลที่ ‘ทำให้ความยากกลายเป็นเรื่องธรรมดา’ ด้วยการอ่านเกมล่วงหน้า การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด และการจ่ายบอลที่แม่นยำอย่างมีจังหวะ

 

ในสนามเขาเหมือนนักเต้นบัลเลต์ผสมกับนักเชิดหุ่น ที่สามารถควบคุมบอลได้สมดุล, การหมุนตัวหลบคู่แข่งในพื้นที่แคบทำได้อย่างแนบเนียน การจ่ายบอลสั้น-ยาวมีน้ำหนักที่ชวนตะลึง และการควบคุมจังหวะเกมราวกับเป็นวาทยกรควบวงออร์เคสตรา

 

หนึ่งในภาพจำของเขาคือการเปิดบอลไซด์ก้อยที่ทั้งยากและสวยงาม เป็นเทคนิคที่นักฟุตบอลไม่กี่คนในโลกใช้เป็นธรรมชาติได้ขนาดนี้

 

เขาอาจตัวเล็กเมื่อเทียบกับบอลหลายคนในสนาม และอายุอานามที่เลย 30 ไปนานแล้ว แต่ความเฉียบแหลม ความเยือกเย็น และความเข้าใจเกมในระดับสูง ทำให้เขายัง ‘สำคัญ’ ต่อทีม แม้จะเล่นเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายอาชีพ

 

นอกจากนั้นในปี 2018 โลกฟุตบอลต้องตกตะลึง เมื่อชื่อของโมดริชถูกประกาศเป็นผู้คว้ารางวัล Ballon d’Or เป็นคนแรกที่แทรกตัวเข้ามาในยุคที่มีเพียงเมสซีกับคริสเตียโน โรนัลโด ผลัดกันขึ้นรับรางวัลนี้มาตลอด 10 ปี

 

ปีนั้นโมดริชพาเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรป และนำทีมชาติโครเอเชียทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก เป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งประเทศ และเขาคือภาพแทนของความทุ่มเทเกินขีดจำกัด

 

ในช่วงท้ายของเส้นทาง โมดริชอาจไม่ได้ออกสตาร์ตทุกเกมอีกต่อไป แต่อิทธิพลของเขาไม่เคยลดลง เปรียบเสมือน ‘แม่เหล็ก’ ที่ดึงดูดจังหวะและอารมณ์ของทีม

 

แม้ระบบของเรอัล มาดริด จะเริ่มเปลี่ยนไปเน้นมิดฟิลด์พลังหนุ่มอย่างชูอาเมนี, วัลเวร์เด้ และคามาวิงกา แต่โมดริชก็ปรับตัวอยู่เสมอ เขาเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำที่พูดน้อยแต่แสดงออกด้วยการกระทำ เป็นครูของรุ่นน้อง และแบบอย่างของการเป็นมืออาชีพ

 

“มันคือช่วงเวลาที่ผมไม่เคยอยากให้มาถึง แต่ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้ ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ” โมดริชกล่าวในแถลงอำลา

 

แม้อยากจะอยู่จนแขวนสตั๊ดมากแค่ไหน แต่ชีวิตจริงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

 

และวันนี้ ก็มาถึงเวลาที่ ลูกา โมดริช ต้องโบกมือลาเหล่า ‘มาดริดิสตา’ ในฐานะนักเตะผู้เป็นแบบอย่าง นักสู้ผู้ไม่เคยยอมแพ้ และบุคคลที่มอบหัวใจให้เรอัล มาดริด ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา

 

ในวันที่สโมสรแห่งนี้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เราอาจไม่ได้เห็นหมายเลข 10 เดินพลิ้วอยู่กลางสนามอีกแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ คือความทรงจำ และร่องรอยแห่งตำนานที่เขาทิ้งไว้

 

นั่นทำให้คำว่า ‘ตำนาน’ สำหรับโมดริช จึงไม่ใช่แค่คำยกย่อง แต่มันคือสิ่งที่เขาสมควรได้รับจริงๆ

 

Gracias Luka 👏

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising