หลังจากผ่านไปเกือบ 5 ปีเต็มนับตั้งแต่สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในเหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อ “Brexit” ทั้งสองฝ่ายก็กลับมาเปิดบทสนทนาใหม่อีกครั้ง
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่กรุงลอนดอน การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำอังกฤษและอียูสิ้นสุดลงด้วยการลงนามในชุดข้อตกลงสำคัญ ซึ่งหลายฝ่ายยกให้เป็น “จุดเปลี่ยน” ของความสัมพันธ์สองฝั่งช่องแคบอังกฤษ
แม้ข้อตกลงนี้จะไม่ถึงขั้นพาสหราชอาณาจักรกลับเข้าสู่สหภาพยุโรปเต็มรูปแบบ แต่มันแสดงถึงการปรับจุดยืนไปสู่ความร่วมมือในเชิงปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการค้าชายแดนที่ง่ายขึ้น ความร่วมมือทางการทหาร และการเดินทางของประชาชนที่คล่องตัวขึ้น
เปิดสาระสำคัญของข้อตกลง
- การค้าชายแดน: ลดขั้นตอน เพิ่มความลื่นไหล
ข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการลดข้อกำหนดทางราชการสำหรับสินค้าเกษตรจากอังกฤษ เช่น อาหารและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ โดยข้อตกลงใหม่นี้จะยกเว้นการตรวจสอบตามปกติสำหรับสินค้าบางประเภทอย่างไม่มีกำหนด ช่วยให้กระบวนการส่งออกไม่สะดุด และลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ
แม้จะไม่ได้กลับสู่ตลาดเดียวของอียู แต่ถือเป็นก้าวแรกของ “การค้าระหว่างกันแบบบริหารจัดการ” ที่เน้นความยืดหยุ่นมากกว่าอุดมการณ์
- คุ้มครองอุตสาหกรรมหลักของอังกฤษ
หนึ่งในชัยชนะที่รัฐบาลอังกฤษหยิบมาโชว์คือการคุ้มครองการส่งออกเหล็กกล้าของตนเองจากภาษีใหม่ของอียู ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ภาคอุตสาหกรรมได้ถึง 25 ล้านปอนด์ต่อปี
- สิทธิการประมง: ปมคาราคาซังที่คลี่คลายได้ในนาทีสุดท้าย
สิทธิการประมงยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงและอ่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์และเศรษฐกิจ แม้จะมีข้อตกลงด้านอื่นๆ คืบหน้าไปแล้วก็ตาม
ตามรายงานจากการเจรจา สหราชอาณาจักรเสนอให้สหภาพยุโรปสามารถเข้าถึงน่านน้ำประมงของตนต่อไปอีก 4 ปี ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่มากพอสมควร แต่ทางอียูต้องการข้อตกลงระยะยาวมากกว่านั้น ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นสุดท้ายที่ต้องถกเถียงกันต่อจนถึงช่วงท้ายของการเจรจามาราธอน
- การเชื่อมโยงตลาดคาร์บอน: บรรเทาภาษีการค้าเพื่ออุตสาหกรรมหนัก
อีกหนึ่งผลลัพธ์เชิงโครงสร้างที่ได้รับการยอมรับอย่างเงียบๆ แต่อาจมีผลกระทบสูงคือ การที่สหราชอาณาจักรและอียูตกลงเชื่อมโยงระบบซื้อขายคาร์บอนของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน
ข้อตกลงนี้จะช่วยให้สินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์ ไม่ต้องถูกเก็บภาษีซ้ำซ้อนเมื่อนำเข้าหรือส่งออกระหว่างสองภูมิภาค และจะช่วยประหยัดต้นทุนให้กับภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษได้สูงถึง 800 ล้านปอนด์ต่อปี
นอกจากนี้ ยังถือเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องอุตสาหกรรมหนักของอังกฤษจากภาระภาษีในระบบ “Carbon Border Adjustment Mechanism” ที่อียูกำลังนำมาใช้ และยังช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาคไปพร้อมกัน
- ความมั่นคงและกลาโหม: ร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์
อังกฤษจะสามารถเข้าร่วมโครงการด้านความมั่นคงของอียูได้อีกครั้ง รวมถึงสามารถยื่นประมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างด้านกลาโหมร่วมกับบริษัทจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ได้ด้วย
บทวิเคราะห์จาก Reuters รายงานว่า ข้อตกลงด้านความมั่นคงนี้ไม่ได้มีแค่ความหมายเชิงกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังมีนัยเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่า “ยุโรปยังต้องการอังกฤษ” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภัยคุกคามจากรัสเซียยังคงดำเนินต่อไป
- การเคลื่อนย้ายของเยาวชน: เปิดใหม่อย่างมีกรอบ
ข้อตกลงครั้งนี้ยังเสนอการเปิดโครงการเคลื่อนย้ายสำหรับเยาวชนอายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งครอบคลุมทั้งการทำงาน การเรียน การอาสาสมัคร และการเป็นออแพร์ แม้จะยังไม่มีรายละเอียดสุดท้าย แต่ก็คาดว่าจะมีการจำกัดจำนวนและกำหนดระยะเวลาอย่างชัดเจน
Best for Britain Organization รายงานว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอังกฤษถึง 2 ใน 3 สนับสนุนโครงการนี้ และในทุกเขตเลือกตั้งก็มีเสียงข้างมากที่เห็นชอบ โดยมีเพียง 18% เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการตกลงให้ชาวอังกฤษสามารถใช้ช่อง e-gate และช่องตรวจคนเข้าเมืองของอียูได้ เพื่อให้การเดินทางสะดวกขึ้น
- การทำงานข้ามพรมแดนและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ข้อตกลงนี้ยังเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าเจรจาเรื่องการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพร่วมกัน เช่น สถาปนิก วิศวกร และนักบัญชี เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถทำงานระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางชั่วคราว
ในด้านวัฒนธรรม ข้อตกลงใหม่ยังพูดถึงการ “สนับสนุน” การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม แต่ยังไม่มีคำมั่นชัดเจนเกี่ยวกับการยกเว้นวีซ่าสำหรับศิลปิน หรือประเด็นที่ยังเป็นอุปสรรค เช่น การขนย้ายอุปกรณ์ดนตรีข้ามพรมแดน
ตามรายงานของ Best for Britain Organization ระบุว่า หลัง Brexit มีจำนวนนักดนตรีอังกฤษที่ได้ขึ้นเวทีในยุโรปลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนพรรค Labour ต้องใส่เรื่องนี้ไว้ในนโยบายการเลือกตั้งปี 2024
“ทรัมป์ 2.0” กับการปรับท่าทีของยุโรป
ข้อตกลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่สอดคล้องกับบริบทระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการกลับมาของทรัมป์ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง
- ทรัมป์ถอย ยุโรปต้องเดินหน้าเอง
บทวิเคราะห์จาก The New York Times รายงานว่า ทรัมป์ยังคงเรียกร้องให้พันธมิตร NATO จ่ายมากขึ้น และลดการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในความมั่นคงของยุโรป ผลที่ตามมาคือ อังกฤษและอียูต้องหันมาปรับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพื่อเติมช่องว่างที่อเมริกาทิ้งไว้
- โครงสร้างการค้าใหม่ท่ามกลางโลกที่ผันผวน
CNN วิเคราะห์ว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีและการเพิ่มความตึงเครียดกับจีนและอียู ส่งผลให้ UK และอียูต้องเร่งสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจผ่านความร่วมมือระหว่างกัน
- ยุทธศาสตร์ภายในประเทศของอังกฤษ
จากรายงานของ British Foreign Policy Group Think Tank ระบุว่า สำหรับนายกฯ สตาร์เมอร์ ข้อตกลงนี้คือวิธีการแสดงความเป็นผู้นำเชิงปฏิบัติ พร้อมสยบกระแสโจมตีจากฝ่ายขวา และแสดงความสามารถในการปรับทิศทางประเทศในโลกที่สหรัฐฯ ไม่ใช่เสาหลักเหมือนเดิม
- การเปลี่ยนสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์
The New York Times ชี้ว่า ท่ามกลางสงครามยูเครนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในยุโรป ข้อตกลงนี้คือการส่งสัญญาณว่า “ยุโรปพร้อมร่วมมือ” แม้ในโลกที่คำมั่นจากวอชิงตันไม่อาจพึ่งพาได้เหมือนเดิม
ข้อตกลงนี้จะเปิดบาดแผลเก่าหรือไม่?
แม้ข้อตกลงนี้จะได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากประชาชนส่วนใหญ่ แต่ความเป็นจริงทางการเมืองภายในสหราชอาณาจักรกลับซับซ้อนกว่านั้นมาก
บทวิเคราะห์จาก CNN รายงานว่า นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์กำลังเดินบนเส้นทางที่ละเอียดอ่อน เพราะแม้กระแสสังคมจะเริ่มโน้มเอียงไปในทิศทางที่ “เสียใจ” กับการออกจากอียู และประชาชนส่วนใหญ่ต้องการความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับยุโรปมากกว่าสหรัฐฯ แต่การถกเถียงอย่างรุนแรงในยุคหลังประชามติปี 2016 ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำทางการเมืองของผู้คน
ในขณะที่รัฐบาลพรรค Labour ใกล้จะครบรอบ 1 ปี เสียงสนับสนุนกลับลดลงเรื่อยๆ และพรรคขวาจัดอย่างพรรค Reform UK ภายใต้การนำของไนเจล ฟาราจ กลับมาเร่งเครื่องเต็มกำลัง โดยกล่าวหาว่าข้อตกลงฉบับนี้เป็น “การยอมจำนนต่อบรัสเซลส์” และประณามข้อเสนอที่ให้อียูเข้าถึงน่านน้ำประมงของอังกฤษต่อเนื่องจนถึงปี 2038 ว่าเป็นการทรยศต่อหัวใจของ Brexit
เคมิ บาเดโนช ผู้นำพรรค Conservative คนใหม่ ก็ร่วมวิจารณ์ว่า “เรากำลังกลับไปเป็นประเทศที่ต้องรับกฎจากบรัสเซลส์อีกครั้ง”
ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว สตาร์เมอร์พยายามกำหนดภาพใหม่ว่า อังกฤษกำลังก้าวสู่ยุคของ “สำนึกในทางปฏิบัติ” โดยกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินไปข้างหน้า ทิ้งการถกเถียงเก่าๆ และหาทางออกที่ใช้ได้จริงเพื่อตอบโจทย์ของประชาชน”
ผลสำรวจของ YouGov ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่า ความนิยมของนายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์ ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีเพียง 23% ของประชาชนในสหราชอาณาจักรที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเขา ในขณะที่ความนิยมต่อนาย Farage และพรรค Reform UK กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
รีเซ็ตครั้งนี้ จะมั่นคงยืนยาวหรือไม่?
ข้อตกลงระหว่างสหราชอาณาจักรและอียูฉบับนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งความร่วมมือ หรืออาจเป็นเพียงช่วงพักหายใจในฉากการเมืองที่ยังไม่รู้จุดจบ
ในแง่นโยบาย มันเปิดประตูให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันอย่างลึกซึ้งขึ้น ทั้งในด้านการค้า ความมั่นคง และการเดินทางของผู้คน แต่ในทางการเมือง มันอาจกลายเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟความขัดแย้งเก่า หากถูกตีความว่าอังกฤษกำลังก้าวถอยหลังจากอธิปไตยที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งเคยต่อสู้เพื่อให้ได้มา
ทั้งอังกฤษและอียูจึงมีภารกิจร่วมกันคือ เปลี่ยน “รีเซ็ต” ครั้งนี้ให้กลายเป็น “เสถียรภาพที่ยั่งยืน” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในโลกที่เปลี่ยนเร็ว ความเสี่ยงสูง และสังคมที่ยังเต็มไปด้วยรอยร้าวจากอดีต
อ้างอิง:
- https://www.cnn.com/2025/05/19/europe/britain-eu-summit-deal-gbr-intl
- https://www.gov.uk/government/news/pm-secures-new-agreement-with-eu-to-benefit-british-people
- https://www.reuters.com/world/uk/hold-britain-poised-reset-trade-defence-ties-with-eu-2025-05-18/
- https://bfpg.co.uk/2025/01/from-reset-to-renewal-prospects-for-uk-eu-relations-in-2025/
- https://www.nytimes.com/2025/05/18/world/europe/uk-eu-summit-trump.html
- https://www.bestforbritain.org/quick_explainer_deal_agreed_at_uk_eu_summit_brexit?utm_source=perplexity