ชั่วครู่นั้นเมืองซาเกร็บสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมือง เสียงเฮกึกก้องดุจเสียงพสุธากัมปนาท และดูเหมือนทุกคนจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้เห็น
ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษของ มาริโอ มานด์ซูคิช ในนาทีที่ 109 ทำให้พวกเขาพลิกสถานการณ์กลับมาได้เปรียบอังกฤษเป็นครั้งแรก หลังจากที่ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังตั้งแต่นาทีที่ 5 ของการแข่งขัน
และเมื่อไม่มีเรื่องดราม่าใดๆ เกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น อังกฤษที่ด้อยกว่าทั้งในเชิงของฝีเท้าและประสบการณ์ไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ใดๆ ประตูของดาวยิงวัย 32 ปีจากยูเวนตุสจึงกลายเป็นประตูทองคำที่นำโครเอเชียเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรก
สำหรับชาติที่เพิ่งได้รับเอกราชยังไม่ครบ 3 ทศวรรษดี และมีประชากรเพียงแค่ 4 ล้านคน การก้าวมาถึงจุดนี้ได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ของวงการฟุตบอลได้เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวในวันที่ควันไฟของสงครามยังคุกรุ่น
ลูกา โมดริช กองกลางกัปตันทีมผู้เกิดและเติบโตในเขตสงคราม ทำให้ครอบครัวของเขาแตกแยก เพราะพ่อต้องไปรับใช้กองทัพ และบ้านของเขาก็ถูกเผาลงด้วยไฟสงคราม
เมื่อไร้บ้าน โมดริชต้องกลายเป็นผู้อพยพ ได้โรงแรมโคโลวาเรเป็นที่ซุกหัวนอนตลอดระยะเวลา 7 ปี แต่ก็ไม่ใช่ชีวิตที่สุขสบาย ทุกวันต้องมีระเบิดบินผ่านหัวและได้ยินเสียงของมันบ่อยกว่าเสียงเพลงหรือเสียงดนตรีใดๆ
ฟุตบอลเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาหลบจากความเป็นจริงที่โหดร้ายได้
เช่นกันกับเพื่อนร่วมทีมของเขาอีกหลายคนที่ก้าวผ่านวันเวลาที่โหดร้ายมาได้ด้วยลูกกลมๆ ที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
คราบเลือด รอยน้ำตา และบาดแผลจากสงครามในวันนั้นถูกเปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจของนักเตะโครเอเชียทุกรุ่น นับตั้งแต่รุ่นแรกที่นำมาโดยวีรบุรุษอย่าง ดาวอร์ ซูเคอร์, โรเบิร์ต โปรซิเนสกี, โรเบิร์ต ยาร์นี เรื่อยมาจนถึงนักเตะในรุ่นปัจจุบันที่ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการก้าวผ่านฮีโร่ในวันวานได้อย่างน่ามหัศจรรย์
โครเอเชียกับฟุตบอลโลกหนนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเต็ง และไม่ได้เป็นทีมม้ามืดที่จะมีใครคิดถึงมากนัก แม้ว่าจะได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพของผู้เล่นหลายคนที่น่าจับตามอง เพียงแต่ผู้คนนั้นให้ค่าและสนใจกับ Golden Generation ของเบลเยียมและเหล่าสิงโตหนุ่มของอังกฤษมากกว่า
ทั้งๆ ที่หากมองให้ดีๆ โครเอเชียชุดนี้ก็เป็นชุดที่ดีที่สุดแห่งยุคสมัยของพวกเขาเหมือนกัน คล้ายกับเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่แกนหลักของทีมตาหมากรุกล้วนเป็นนักเตะในระดับชั้นนำของทีมชาติยูโกสลาเวีย หนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังทางยุโรปตะวันออก
พวกเขามีโมดริช กองกลางที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกองกลางที่เก่งที่สุดในโลกเวลานี้ โดยคู่ของเขาแม้จะไม่เก่งเท่า แต่ก็เป็นระดับแกนหลักของบาร์เซโลนาอย่าง อีวาน ราคิติช
ในแนวรุก พวกเขามี อีวาน เปริซิช ปีกก้านยาวที่หลายทีมระดับท็อปของยุโรปให้ความสนใจในช่วงก่อนหน้านี้ และยังมี มาริโอ มานด์ซูคิช กองหน้าที่เล่นได้ทุกรูปแบบที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก ไม่ได้เป็นรอง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี หรือใครต่อใครเลย
อย่างไรก็ดี ในความเป็นคนนอกสายตาก็เป็นข้อดีที่โครเอเชียไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันใดๆ
สิ่งที่พวกเขาต้องสู้ไม่มีอะไรมากไปกว่าคู่แข่งที่อยู่ตรงหน้าและหัวใจตัวเอง
นอกจากนี้ขุนพลในชุดแดงขาวนั้นลงสนามทุกนัดด้วยความคิดง่ายๆ ‘ไม่มีอะไรจะเสีย’
ความคาดหวังอาจจะมีสูงขึ้นบ้างจากรอบแรกที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเกมที่สยบอาร์เจนตินาและลิโอเนล เมสซี ได้อย่างขาดลอย เพียงแต่เมื่อเข้าสู่รอบน็อกเอาต์แล้ว ความยากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญทำให้ความคาดหวังนั้นกลับลงไปอยู่ที่เก่า
พวกเขาเจองานลำบาก กว่าจะผ่านด่านเดนมาร์กมาได้ในการดวลจุดโทษในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และอีกครั้งกับเกมดราม่าที่ถือเป็นเกมแห่งความทรงจำของฟุตบอลโลกครั้งนี้ เมื่อเฉือนเอาชนะรัสเซียเจ้าภาพในการดวลจุดโทษเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน
การต้องลงเล่น 120 นาทีและตัดสินที่ฎีกาทำให้หลายคนไม่ได้มองค่าของโครเอเชียตามความเป็นจริง กลับกลายเป็นอังกฤษที่เอาชนะสวีเดนมาได้แบบสบายๆ ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่สวยหรูและดูดีกว่า
เพียงแต่สำหรับโครเอเชีย พวกเขาไม่เน้นพูดเยอะ
ต่อยได้ต่อยเลย!
เกมที่ลุจนีกี สเตเดียม อังกฤษเริ่มต้นได้เหมือนฝันกับประตูจากลูกฟรีคิกของ คีแรน ทริปเปียร์ เจ้าของสมญา ‘เบ็คแฮมแห่งบิวรี’ และดูเหมือนน่าจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะได้ไม่ยาก เพราะสามารถจู่โจมโครเอเชียจนเจียนอยู่เจียนไปหลายครั้ง
แต่เมื่ออังกฤษไม่สามารถฉกฉวยโอกาสที่มีได้ สุดท้ายเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าโครเอเชียเป็นทีมที่ดีกว่าในทุกด้าน
ไม่ว่าจะฝีเท้า ประสบการณ์ หรือหัวใจ
อีกส่วนคือการตกเป็นฝ่ายตามหลังในสองเกมก่อนหน้านี้กับเดนมาร์กและรัสเซีย ทำให้โครเอเชียมีภูมิต้านทานสถานการณ์แบบนี้และรับมือกับมันได้ดีขึ้น
จากที่หาทางเล่นไม่ได้ก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นฝ่ายบงการทุกอย่างเอาไว้ โดยที่อังกฤษที่ว่าสดนักสดหนาทำอะไรกันไม่ถูก ทำได้เพียงเต้นระบำไปตามจังหวะเกมที่โครเอเชียกำหนดไว้
สุดท้ายประตูตีเสมอก็มาจาก อีวาน เปริซิช เพียงแต่เวลาที่เหลือพวกเขายังไม่สามารถส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้เพิ่ม ทำให้ต้องเล่นต่อเวลากันอีก 30 นาที
สำหรับบางทีมที่ต้องเล่นต่อเวลามาแล้วสองนัดก่อนหน้านี้ โดยที่แต่ละนัดมีเวลาพักฟื้นแค่เพียงไม่นาน การต้องเล่นต่อเวลาเป็นเกมที่ 3 ไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยต่อทั้งร่างกายและหัวใจนัก
แค่นี้ยังสะบักสะบอมกันไม่พอใช่ไหม
อันที่จริงอังกฤษควรจะใช้ความได้เปรียบเรื่องของสภาพร่างกายไล่บดบี้เหยื่ออย่างโครเอเชียให้อยู่หมัดตามประสาสิงโตหนุ่มที่กำลังหิวกระหายการได้เข้าไปชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 52 ปี
แต่กลับกลายเป็นว่าโครเอเชียเสียอีกที่ไล่บดบี้ขยี้จนอังกฤษ ซึ่งที่จริงนั้นพยายามสู้และสู้ได้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้แล้ว แต่ก็ยังทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่สุดท้ายสิงโตหนุ่มจะเสียทีให้แก่ความเก๋าเกมของมานด์ซูคิชที่ทำประตูแซงนำและเป็นประตูชัยให้กับทีมในที่สุด
เป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นด้วยสายโลหิตและจิตวิญญาณแห่งโครเอเชีย
ผมชอบถ้อยคำสัมภาษณ์ของโมดริชหลังจบเกมที่ตอกกลับสื่อในอังกฤษที่พยายามชูทีมของตัวเองและมองข้ามโครเอเชียจนกลายเป็นที่มาของ ‘พลัง’ สำหรับเหล่านักเตะตาหมากรุก
มันเป็นคำพูดของคนที่เป็นนักสู้ตัวจริงที่ผ่านความยากลำบากมาก่อน และต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาดีไม่แพ้ใคร
ไม่แม้แต่เหล่าวีรบุรุษในวันวานจากฟรองซ์ 98 ที่ในวันนี้ได้ถูกพวกเขาก้าวผ่านไปแล้ว
ประวัติศาสตร์ชาติโครเอเชียอาจไม่ได้ยาวนาน แต่ชัยชนะในวันนี้คือบทพิสูจน์ว่าความยิ่งใหญ่ของชาตินั้นไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เพียงเงื่อนเวลาเพียงอย่างเดียว
มันมากกว่านั้น