คืนนี้แล้ว (เช้ามืดวันพุธที่ 11 ก.ค. เวลา 01.00 น.) ที่เราจะได้รู้ว่าคู่ชิงฟุตบอลโลกปีนี้คู่แรกเป็นใคร ที่แน่ๆ คือฟุตบอลโลกรอบ 4 ทีมสุดท้ายปีนี้ ไม่มีชื่อของชาติจากอเมริกาใต้โผล่เข้ามาเลย เมื่อความหวังสุดท้ายของทวีปอย่างอุรุกวัยและบราซิลไม่มาตามนัด ชิงตกรอบก่อนรองชนะเลิศไปก่อน
และผู้พิชิตทั้ง 2 ทีมดังจากลาตินก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ฝรั่งเศสและเบลเยียม ทีมที่จะลงทำการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบรองชนะเลิศคู่แรกนั่นเอง
สถิติการพบกันก่อนหน้านี้ของ ‘เลส์ เบลอส์’ และ ‘เรด เดวิลส์’ เคยพบกันทั้งหมด 19 ครั้งในทุกรายการ เป็นฝรั่งเศสที่ชนะได้ 7 ครั้ง ยิงได้ 36 ประตู ส่วนเบลเยียมชนะ 5 ครั้ง ยิงได้ 24 ประตู เสมอที่ 7 ครั้ง พบกันครั้งล่าสุดในแมตช์อุ่นเครื่องเมื่อปี 2015 เบลเยียมเฉือนชนะไปได้ 4-3
อันดับฟีฟ่าแรงกิ้ง ณ ปัจจุบัน (อัพเดตล่าสุดก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มแข่ง 7 มิ.ย.) เบลเยียมอยู่ในลำดับที่ 3 ฝรั่งเศสอยู่ในอันดับที่ 7 พูดถึงเบลเยียม ต้องบอกว่าฟอร์มการแข่งขันในฟุตบอลโลกปีนี้ของพวกเขาร้อนแรงสุดๆ แข่ง 5 นัดชนะรวดทั้ง 5 นัด ยิงได้ 14 ประตู ยังไม่แพ้ใครเลย
กลับกันเป็นแชมป์โลก 1 สมัยดูจะเป็นทีมที่เครื่องร้อนช้ากว่าพอสมควร เพราะกว่าจะสำแดงเดชสมฟอร์มทีมเต็งก็ปาเข้าไปรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่เบียดเอาชนะอาร์เจนตินา 4-3 และบดอุรุกวัยไปได้ 2-0 ตามลำดับ
เกมการแข่งขันในคืนนี้ตามเวลาท้องถิ่นที่รัสเซีย ณ สนามกีฬาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทั้ง 2 ทีมน่าจะจัดตัวผู้เล่นชุดใหญ่ลงประจันหน้ากันเต็มสูบ ฝรั่งเศสจะได้ แบลส มาตุยดี คืนทัพหลังนัดที่แล้วถูกแบนเพราะสะสมใบเหลืองครบโควตา และต้องวัดใจดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ว่าจะเลือกใครเป็นตัวจริง เพราะนัดที่แล้วหมากขัดตาทัพอย่าง ‘โกร็องแต็ง โตลิสโซ’ ก็โชว์ฟอร์มไว้ดีมาก
เบลเยียมจะขาดแค่โธมัส มูนิเยร์ แบ็กขวาฟอร์มเด่นจากปารีแซ็ง แฌร์แม็ง ที่ส่งให้เพื่อนยิงไปแล้ว 2 ลูก เพราะสะสมใบเหลืองจนครบ
ฝรั่งเศสจะสร้างชื่อให้ชาติ นำแชมป์สมัยที่ 2 กลับคืนสู่ประเทศ?
20 ปีที่แล้ว ทีมชาติฝรั่งเศสชุดฟรองซ์ 98 เคยสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซไว้ด้วยการชนะบราซิลในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1998 พร้อมคว้าแชมป์โลกสมัยแรกให้ประเทศได้สำเร็จ
ทัพตราไก่ยุคนั้นถือ ‘แกร่งทุกขุมกำลัง’ เกมรับมีผู้รักษาประตูอย่าง ฟาเบียง บาร์กเตซ คู่ปราการหลังหินผา มาร์กเซล เดอไซญี และลิลิยอง ตูราม แดนกลางมี ซีเนดีน ซีดาน นำทัพ เสริมด้วยหน่วยสนับสนุนอย่าง เอ็มมานูเอล เปอตีต์, ปาทริค วิเอรา, ยูริ จอร์เกฟฟ์ และเดส์ชองส์ (เฮดโค้ชเลส เบลอส์ชุดนี้)
ความยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของฝรั่งเศสในวันนั้นยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักฟุตบอลในชาติหลายรายในยุคนี้ ไม่เว้นแม้แต่สตาร์ทีมตรงข้าม เอเดน อาซาร์ ที่ยอมรับว่าตัวเขาโตขึ้นมากับฝรั่งเศสชุดฟรองซ์ 98
Kylian, Thorgan et Eden Hazard avec un maillot Zidane de l’équipe de France lorsqu’ils étaient enfants 🙂#FRABEL pic.twitter.com/MQU8jT2V2a
— Xavi McBeal (@XaviMcBeal) 6 กรกฎาคม 2561
“ผมกับพี่น้องเราเป็นกองเชียร์ทีมชาติฝรั่งเศสมากกว่าเบลเยียมนะ เพราะพวกเราโตมากับยุค 98 ตอนนั้นเราไม่ได้มีเสื้อของทีมชาติเบลเยียม นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราใส่เสื้อทีมชาติฝรั่งเศส
“ผมไม่ได้ต้องการจะหมิ่นประมาททีมชาติเบลเยียมนะ เพราะพวกเขาก็มีตัวผู้เล่นที่ดีมากๆ แต่ตอนนั้นต้องยอมฝรั่งเศสจริงๆ”
โจทย์ที่ท้าทายของทีมชาติฝรั่งเศสชุดยังบลัดนี้ (อายุทีมเฉลี่ยน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนต์ที่ 26 ปีร่วมกับอังกฤษและไนจีเรีย) คือการต้องหลบคำสบประมาทที่มีก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มเปิดฉากขึ้น แรงกดดันและเสียงโห่ของแฟนบอลในชาติที่พร้อมจะดังขึ้นตลอดเวลา รวมถึงมาตรฐานที่รุ่นพี่ในชาติเคยสร้างเอาไว้เมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว
เดส์ชองส์ ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมไว้ว่า ทีมเบลเยียมชุดนี้อันตรายมาก และไม่ได้ทะลุเข้ามาถึงรอบนี้เพราะโชคช่วย โดยเฉพาะในนัดที่แล้วที่เล่นตามเกมจนบดขยี้บราซิลแบบสิ้นไร้ไม้ตอก 2-1
“พวกเขาจะทำแบบนั้นกับเราได้ไหมเหรอ? ก็อาจจะนะ เบลเยียมกำลังเดินหน้าเต็มกำลัง พวกเขายังรักษาคุณภาพของตัวเองไว้ได้ แต่เกมกับบราซิล โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ เลือกใช้ความได้เปรียบในแดนกลางเข้าต่อกร และนักเตะบราซิลก็ไม่สามารถเจาะพวกเขาได้เลย
“พวกเขาเดินเกมรุกกันเร็วมากๆ เพราะฉะนั้นผมต้องทำให้แน่ใจว่าผู้เล่นของผมจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ใดๆ ก็ตามที่จะเกิดตั้งแต่เริ่มเกมและระหว่างการแข่งขัน”
หลังเป็นหนึ่งใน 23 ขุมกำลังทีมชาติฝรั่งเศสที่เคยสัมผัสโทรฟีแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว ภารกิจที่เดส์ชองส์ได้รับในปีนี้คือการนำแชมป์กลับคืนสู่ประเทศอีกครั้ง ทั้งยังต้องช่วยให้รุ่นน้องในทีมชาติมีโอกาสได้รู้จักกับ ‘ความสำเร็จ’ เหมือนที่เขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
‘ยุคทอง’ จะเอา ‘เหรียญทอง’ มาห้อยคอได้ไหม
ทีมชาติเบลเยียมชุดนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น Golden Generation หรือ ‘ยุคทอง’ ขุมกำลังในเกือบทุกตำแหน่งกำลังสุกงอมทั้งด้านประสบการณ์ ฝีเท้าและความสามารถที่อยู่ในส่วนยอดของพีระมิดลูกหนังด้วยกันทั้งนั้น
ผู้เล่นอย่างอาซาร์, เควิน เดอ บรอยน์, โรเมลู ลูกากู, โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์, แยน แฟร์ตองเกน หรือติโบต์ กูร์ตัวส์ คือกุญแจสำคัญดอกต้นๆ ที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จเป็นแชมป์โทรฟีในปีนี้
เมื่อนำผู้เล่นเหล่านี้จับลงล็อกในแผนการเล่นและรูปแบบการขึ้นเกมรุก การตั้งรับที่คุ้นเคยมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ภายใต้การนำทัพของเฮดโค้ช มาร์ติเนซ และคัมภีร์การเล่นฟุตบอลให้ทรงประสิทธิภาพที่มีลมหายใจอย่าง ‘เธียร์รี อองรี’ หนึ่งในทีมโค้ชทัพปีศาจแดงจากยุโรป ผลลัพธ์ที่ได้คือฟอร์มที่ร้อนแรงและทีมฟุตบอลที่ยากจะต่อกรดีๆ ทีมหนึ่ง
บทพิสูจน์เรื่องฝีเท้าก็เรื่องหนึ่ง แต่ ‘เรื่องหัวจิตหัวใจ’ พวกเขาก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน โดยเฉพาะในนัดที่กัดฟันฮึดแซงทีมชาติญี่ปุ่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายในช่วงนาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บได้สำเร็จ รวมไปถึงผลงานการเล่นอย่างมีวินัยจนโค่นยอดทีมและเต็ง 1 แชมป์ฟุตบอลโลกปีนี้อย่างบราซิลลงได้
โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมไว้ว่าเขาใช้เวลานานนับ 2 ปีกว่าจะเข้าใจนักฟุตบอลในทีมในแง่ของ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกของนักกีฬา เพื่อที่จะพยายามรวบรวมทีมที่มุ่งมั่นและมีความทะเยอทะยานในเป้าหมายเดียวกันให้ได้
“เรามุ่งมั่นที่จะเป็นทีมที่ดีในระดับทีมชาติให้ได้ และมันก็ใช้เวลากว่า 2 ปีที่เราจะก้าวขึ้นไปถึงจุดนั้น แต่เราไม่ได้มีเคล็ดลับความสำเร็จอะไรซับซ้อนเลยนะ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ นั่นคือการรวมกลุ่มคนที่มีวิสัยทัศน์ต้องการจะทำให้ทีมชาติเบลเยียมภาคภูมิใจและประสบความสำเร็จครั้งสำคัญ ซึ่งผู้เล่นเหล่านี้ก็ได้บรรลุมันไปแล้ว”
นี่คือจิตวิทยาครั้งสำคัญของโค้ชหนุ่มจากสเปนวัย 44 ปี ที่ได้ให้ไว้กับลูกทีมทั้ง 23 คนของเขา เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันล้มทีมชาติฝรั่งเศสพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ และไปให้ไกลกว่าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลกปี 1986 ที่เคยทำไว้
จับตาคีย์แมน อองตวน กรีซมันน์ VS เอเดน อาซาร์
ท่ามกลางสตาร์ชื่อดังมากหน้าหลายตาของทัพฝรั่งเศสและเบลเยียม อองตวน กรีซมันน์ และเอเดน อาซาร์ คือ 2 ความหวังสำคัญและหัวใจหลักของทีมที่โดดเด่นที่สุด แถมยังหนีไม่พ้นการถูกจับมาเปรียบเทียบกัน เพราะทั้งสองอายุ 27 ปีเหมือนกัน โดยเป็นยอดดาวเตะจากเชลซีที่เกิดก่อนกรีซมันน์แค่ 2 เดือน
แม้ฟอร์มของกรีซมันน์จะเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ต่างจากฝรั่งเศส แต่ผลงานโดยรวมของเจ้าตัวก็ไม่ได้แย่เลย ลงเล่นไป 5 นัด ยิงได้ 3 ลูก (2 ใน 3 เป็นการยิงจุดโทษ) จ่ายให้เพื่อนทำประตูได้อีก 1 ลูก
ฝั่งอาซาร์ ลงวาดลวดลายในฟุตบอลโลกปีนี้เป็นหนที่ 2 ประสบการณ์ที่เจนจัดขึ้นในอาชีพการค้าแข้งจนทำให้เขา ‘นิ่ง’ และโชว์ผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ลงเล่นไป 4 นัด ยิงและจ่ายอย่างละ 2 ลูก
ในค่ำคืนที่จะถึงนี้ นอกจากจะตัดสินได้แล้วว่าระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสและเบลเยียมใครจะได้เข้าชิง เราจะได้รู้กันว่าในสถานการณ์ที่บีบคั้นและกดดันแบบสุดๆ จะเป็นกรีซมันน์หรืออาซาร์ที่แผ่รังสีการเป็นยอดดาวเตะในโลกลูกหนังยุคนี้ออกมาได้มากกว่ากัน
ที่สุดแล้วรุ่นน้องจะเข้าใกล้โอกาสเข้าชิงฟุตบอลโลกเหมือนที่รุ่นพี่ทำสำเร็จไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว หรือเหรียญทองจะตกอยู่กับทีมยุคทองได้ไหม? คืนนี้เราจะได้รู้กัน
อ้างอิง: