วันนี้ (21 มีนาคม) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง และ คณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันแถลงข่าว ‘กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับการแก้วิกฤตปลาหมอคางดำ ทางรอดระบบนิเวศไทย’
วาระแห่งชาติปลาหมอคางดำ
อัคราเปิดเผยผลดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ที่ได้กำหนดให้การระบาดของปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติ และแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567-2570 ซึ่งประกอบด้วย 7 มาตรการ 15 กิจกรรม กรอบวงเงินงบประมาณ 450 ล้าน ดังนี้
- การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด โดยสามารถกำจัดปลาหมอคางดำ 3,702,038 กิโลกรัม (บ่อเลี้ยง 2,321,964.50 กก. แหล่งน้ำธรรมชาติ 1,380,073.50 กก.) ผ่านโครงการต่างๆ
- การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง ได้ดำเนินการปล่อยลูกพันธุ์ปลาผู้ล่าทั้งสิ้น 743,136 ตัว ได้แก่ ปลากะพงขาว 335,136 ตัว, ปลาอีกง 310,000 ตัว, ปลาช่อน 58,000 ตัว, ปลากราย 20,000 ตัว และปลากดเหลือง 20,000 ตัว
- การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ ได้บูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนนำไปผลิตปลาป่น ผลิตน้ำหมักชีวภาพ ปลาร้า นำไปบริโภคแปรรูป ทำปลาแดดเดียว ปลาหวาน กะปิ น้ำปลา และนำส่งโรงงานลูกชิ้น รวมถึงใช้เป็นปลาเหยื่อ รวมกว่า 3,702,038 กิโลกรัม
- การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่กันชน ได้ดำเนินการจัดทำระบบแจ้งตำแหน่งการพบปลาหมอคางดำสำหรับประชาชน และได้จัดตั้งชุดสำรวจและเฝ้าระวังลงพื้นที่สำรวจข้อมูลความชุกชุมในพื้นที่เดือนละ 2 ครั้ง
- สร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ ได้จัดทำการประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับปลาหมอคางดำผ่านช่องทางสื่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม ตลอดจนออกประกาศ ระเบียบ และกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ จำนวน 10 ฉบับ
- การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ มีการจัดทำโครงการ การเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n เพื่อให้เกิดหมันในปลาหมอคางดำ และกรมประมงยังได้จัดทำข้อเสนอโครงการวิจัย จำนวน 19 เรื่อง เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สวก. และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
- การฟื้นฟูระบบนิเวศ ได้มีการวางแผนผลิตพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความหลากหลาย เพื่อเตรียมปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ มุ่งเน้นการฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศให้กับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม
สถานการณ์ระบาดปลาหมอคางดำ
ข้อมูล เดือนกรกฎาคม 2567
พื้นที่แพร่ระบาด 19 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯ นนทบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา
ระดับความชุกชุม
- มาก (มากกว่า 100 ตัว/100 ตร.ม.): 4 จังหวัด (จันทบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ, ประจวบคีรีขันธ์)
- ปานกลาง (11-100 ตัว/100 ตร.ม.): 9 จังหวัด (กรุงเทพฯ, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, นครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช)
- น้อย (1-10 ตัว/100 ตร.ม.): 3 จังหวัด (ฉะเชิงเทรา, นนทบุรี, สงขลา)
- ไม่พบปลาหมอคางดำ: 3 จังหวัด (ปราจีนบุรี, ชลบุรี, พัทลุง)
สถานการณ์ เดือนมีนาคม 2568
- ไม่พบปลาหมอคางดำในระดับชุกชุมมากแล้ว
- ปานกลาง: พบ 5 จังหวัด (ระยอง, สมุทรสาคร, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, นครศรีธรรมราช)
- น้อย: พบ 11 จังหวัด (จันทบุรี, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ, สมุทรสงคราม, นครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี, สุราษฎร์ธานี, สงขลา)
โดยแนวโน้มประชากรปลาหมอคางดำลดลงจากการดำเนินมาตรการควบคุม ขณะที่พื้นที่เพาะเลี้ยงที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, ประจวบคีรีขันธ์
ทีมแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ
ประยูรกล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ความเดือดร้อนของเกษตรกร ชาวประมง และผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจากปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มิได้นิ่งนอนใจ ได้เร่งหาทางออกในการช่วยเหลือเยียวยา โดยประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากรอบหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568
โดยคณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประมง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมบัญชีกลาง และผู้เชี่ยวชาญจากพื้นที่ต่างๆ
ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 คณะทำงานมีมติให้กรมประมงนำข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับความชุกชุมของปลาหมอคางดำมาใช้ในการประเมินความเสียหาย เพื่อกำหนดเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) สามารถใช้ข้อมูลนี้ประกอบการประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม
ขั้นตอนต่อไป กรมประมงจะเสนอเกณฑ์การพิจารณาความเสียหายให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำและกรมบัญชีกลางพิจารณาให้ความเห็นชอบ จากนั้นจะแจ้งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและจังหวัดต่างๆ ทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
ประยูรระบุย้ำว่า การดำเนินการนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงเกษตรฯ ในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการและขั้นตอนทางราชการที่โปร่งใสและเป็นธรรม
งบ 98 ล้าน เดินหน้ากำจัดปลาหมอคางดำ
บัญชากล่าวว่า การดำเนินการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติของกรมประมง ได้มีการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการป้องกัน กำจัด การนำไปใช้ประโยชน์ การเยียวยาผลกระทบ และการฟื้นฟูระบบนิเวศ จากข้อมูลสถิติที่กรมประมงรวบรวม
พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำมีแนวโน้มที่ดีขึ้น กรมประมงจึงจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินงานตาม 7 มาตรการสำคัญ
ขณะนี้กรมประมงได้ดำเนินการขอใช้งบประมาณจำนวน 200 ล้านบาท จากสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรอบวงเงิน 450 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับความเร่งด่วนของปัญหา และได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ 98,457,100 บาท ให้กรมประมงอย่างเร่งด่วน เพื่อใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ ดังนี้:
- การรับซื้อปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดออกจากแหล่งน้ำ ทั้งธรรมชาติและบ่อเลี้ยง จำนวน 3 ล้านกิโลกรัม ในราคา 20 บาท/กิโลกรัม เป็นเงิน 60 ล้านบาท เพื่อนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพและแปรรูปในรูปแบบต่างๆ
- การสนับสนุนกากชาเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่เพาะเลี้ยง จำนวน 35,000 กิโลกรัม เป็นเงิน 10.5 ล้านบาท
- การสนับสนุนปลานักล่า เช่น ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากราย ฯลฯ เพื่อปล่อยลงในบ่อเลี้ยงที่กำจัดปลาหมอคางดำแล้ว จำนวน 300,000 ตัว เป็นเงิน 3 ล้านบาท
- การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกไปใช้ประโยชน์ในการผลิตน้ำหมักชีวภาพ จำนวน 3.2 ล้านลิตร และแปรรูปในรูปแบบต่างๆ เป็นเงิน 22 ล้านบาท
- การสนับสนุนเครื่องมือทำการประมงเพื่อจับปลาหมอคางดำให้แก่เกษตรกรและชาวประมง พร้อมค่าดำเนินงานต่างๆ ประมาณ 3 ล้านบาท
บัญชาคาดการณ์ว่าการดำเนินงานเหล่านี้จะสามารถควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด หลังจากนั้นจะเร่งดำเนินการฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศต่อไป กรมประมงจะเร่งดำเนินการในการรับซื้อปลาหมอคางดำ โดยได้กำหนดจุดรับซื้อไว้แล้วในเบื้องต้น 86 จุด และเตรียมประกาศรับสมัครจุดรับซื้อเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้ตามแผน และจะเร่งฟื้นฟูระบบนิเวศต่อไป
ณ วันนี้ยังสืบไม่พบต้นตอแพร่ระบาด
ในช่วงตอนท้ายของการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือ เมื่อถามถึงกรณีที่มีกลุ่มเกษตรกรไปเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ
บัญชาระบุว่า เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 2567 กรมประมงได้รับมอบหมายให้หาข้อเท็จจริง กับผู้ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดนี้
ผลการสอบสวน ณ ขณะนั้น เนื่องจากปลาชุดที่ระบาดกับปลาชุดที่เกิดขึ้นแต่แรก ระยะเวลาค่อนข้างห่างกัน มากถึง 15 ปี กรมประมงและกรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ประชุมร่วมกันเพื่อตามหาพันธุกรรมปลาที่เป็นชุดเดียวกัน ซึ่งขณะนี้ยอมรับว่าอยู่ระหว่างรอข้อมูลชุดดังกล่าวอยู่
“การดำเนินการสอบสวนเบื้องต้น ณ เดือนตุลาคม 2567 ยังไม่พบว่าปลาชุดที่มีการแพร่ระบาดมาจากแหล่งใด ประกอบกับ ที่มีพี่น้องที่เดือดร้อนรวมตัวกัน ไปฟ้องร้องศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากผู้ประกอบการ 2,400 ล้านบาท ทำให้เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งมีการนำเรื่องไปฟ้องยังศาลปกครองอีกคดี” บัญชากล่าว
บัญชากล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากรมประมงได้เดินทางไปให้ข้อมูล ต่อศาลเพราะฉะนั้นข้อมูลเหล่านี้ล้วนมีผลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากนี้เมื่อผลการดำเนินการทางกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไรทางกรมประมงก็ยินดี ที่จะดำเนินการตามคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด