×

ขยายโควตาแรงงานไทยไปอิสราเอล: ความปลอดภัย กฎหมายระหว่างประเทศ และข้อระวัง 3 ประการ

12.03.2025
  • LOADING...

การสู้รบอิสราเอล-ฮามาสนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 กระทบคนไทยและประเทศไทยอย่างมากในฐานะประเทศที่ส่งแรงงานจำนวนมากไปทำงานในอิสราเอล เมื่อการโจมตีที่ถูกวางแผนมาอย่างดีในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงของอิสราเอลและข่าวกรองยอมรับว่าล้มเหลว ทำให้มีการจับทั้งตัวประกันและเชลยศึกเข้าไปในกาซาจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยหลายสิบคน นอกจากนั้นยังมีคนเสียชีวิตอีกจำนวนมากจากการสู้รบในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ดังนั้นในเมื่ออิสราเอลยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์และรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ย่อมหมายถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ 

 

อิสราเอลประกาศสงครามตั้งแต่วันแรก โดยนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูประกาศกร้าวว่า “We are at war.” มาถึงวันนี้เป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน สิ่งที่อิสราเอลเรียกว่าสงครามยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แม้ขณะนี้จะเป็นช่วงหยุดยิงชั่วคราวกับฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ แต่อิสราเอลยังมีการโจมตีเป็นระยะๆ ข้อตกลงจึงอยู่ในสภาพที่ยังเปราะบางมาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังอนุมัติอาวุธเพิ่มให้อิสราเอลพร้อมกับข่มขู่ฮามาสให้ยอมรับเงื่อนไขใหม่หากไม่แล้วทุกอย่างจะพังพินาศ สถานการณ์ในตะวันออกกลางจึงมีแนวโน้มที่จะกลับมารุนแรงและยกระดับได้ทุกเมื่อ อีกทั้งยังมีข่าวว่ามีการเตรียมโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านด้วย

 

การเพิ่มโควตาแรงงานไทยจำนวนมากที่จะไปทำงานที่อิสราเอลจึงเป็นเรื่องสำคัญในแง่สวัสดิภาพความปลอดภัย โดย โยอาฟ เบน ซูร์ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ได้เดินทางมาเยือนไทยด้วยตัวเอง และขยายโควตารับแรงงานไทยเพิ่ม 20,000 คนภายในสิ้นปี และจะเพิ่มโควตาอีกเป็นแสนในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่อิสราเอลแล้วกว่า 40,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานอิสราเอลยังระบุอีกว่ากำลังรอเซ็นสัญญากับรัฐบาลไทยแบบ G-to-G หรือรัฐต่อรัฐรอบใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยของแรงงานในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงจากสงคราม

 

การที่แรงงานไทยได้รับผลกระทบมากที่สุดในการสู้รบที่ผ่านมาอาจไม่ได้มาจากสาเหตุเพียงว่าแรงงานของเรามีจำนวนมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยจากฐานข้อมูลกระทรวงแรงงาน เดือนสิงหาคม 2023 พบว่ามีแรงงานทำงานที่นั่นจำนวน 13,000 คน และเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 คน ณ สิ้นเดือนกันยายน ก่อนการโจมตีของกลุ่มฮามาสจะเริ่มขึ้น จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ถือว่าพุ่งพรวดมากหากไปดูข้อมูลจากหลายๆ แหล่งจะพบว่าจำนวนแรงงานอินเดียกับฟิลิปปินส์ก็ไม่ต่างจากเรามากนักคือประมาณ 20,000 คน แต่เทียบกันไม่ได้เลยในแง่ผลกระทบเพราะแรงงานไทยไปทำงานภาคการเกษตรในพื้นที่ซึ่งอันตรายมาก ต่างจากแรงงานประเทศอื่นที่หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง เช่น แรงงานอินเดียที่มีจำนวนมากและทำงานในหลายภาคส่วน เขาไปทำงานภาคเกษตรในเขต Negev ทางตอนใต้พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ไกลจากกาซามีบางส่วนใกล้กับกาซา นอกเหนือจากนั้นก็ไปทำงานในพื้นที่ตอนกลางของประเทศอย่าง Hadar HaCarmel และทางตอนเหนืออย่าง Jezreel Valley ทั้งหมดนี้อยู่ห่างจากกาซามาก 

 

อาจกล่าวได้ว่าแรงงานอินเดียส่วนใหญ่ไปทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยตั้งแต่แรก ต่างกับแรงงานไทยที่ตามการรายงานพบว่าแรงงานกว่า 5,000 คนทำงานในพื้นที่เสี่ยงหรือติดกาซา เมื่อเทียบผลกระทบยิ่งเห็นชัด คือ ไม่มีคนอินเดียถูกจับเป็นตัวประกันเลย มีคนสัญชาติอินเดียเสียชีวิต 2 คน คนหนึ่งเสียชีวิตในเดือนมีนาคม 2567 จากการโจมตีของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ทางตอนเหนือ อีกคนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานกับ UN เสียชีวิตในกาซาในเดือนพฤษภาคม ระหว่างอยู่ในขบวนรถของ UN ซึ่ง UN ระบุว่าถูกรถถังอิสราเอลโจมตี นอกจากนี้มีกรณีคนอินเดียบาดเจ็บ 3 คน คนแรกจากจรวดที่ยิงมาจากกาซาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม อีกสองคนจากการโจมตีของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ความสูญเสียแทบทุกกรณีเกิดขึ้นจากการโจมตีระยะไกลหรือนอกพื้นที่กาซา ต่างจากกรณีของแรงงานไทยที่เสียชีวิตหลายสิบคนและถูกจับเป็นตัวประกันอีกหลายสิบคนจากพื้นที่รอบๆ กาซา

 

แม้แรงงานอินเดียได้รับผลกระทบไม่มาก แต่สหภาพแรงงานหลายกลุ่มในอินเดียได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการส่งแรงงานอินเดียไปเสี่ยงอันตรายที่อิสราเอล โดยระบุว่า “ความพยายามใดๆ ของรัฐบาลในการส่งออกแรงงานอินเดีย (ไปอิสราเอล) เป็นการลดทอนความเป็นมนุษย์และเห็นแรงงานเป็นเพียงสินค้า” โดยย้ำว่า “การดำเนินการดังกล่าวจะเท่ากับการสมรู้ร่วมคิดของอินเดียต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์” 

 

นอกจากนี้แรงงานในภาคการขนส่งยังได้เสนอมาตรการปฏิเสธที่จะโหลดหรือขนถ่ายอาวุธที่มุ่งหน้าสู่อิสราเอลด้วย กระนั้นก็ตาม รัฐบาลอินเดียก็ยังคงเดินหน้าส่งแรงงานไปอิสราเอลเพราะปัญหาการว่างงานในอินเดีย และเพราะอิสราเอลยังต้องการแรงงานอีกจำนวนมาก แต่ประเด็นสำคัญคือแรงงานอินเดียไม่ไปทำงานในพื้นที่เสี่ยง อิสราเอลจึงจำเป็นต้องหาแรงงานจากที่อื่นเพื่อทำงานภาคการเกษตรในพื้นที่อันตรายและสัญญาจะดูแลความปลอดภัยให้

 

เมื่อกลับไปดูข้อมูลกรมการจัดหางาน สถิติย้อนหลัง 6 ปีของแรงงานไทยในอิสราเอล ปรากฏว่าข้อมูลที่น่าสนใจพบว่าแรงงานไทยในอิสราเอลพุ่งพรวดมาในปี 2023 (เหตุการณ์เกิดขึ้นปลายปีนี้พอดี) คงเป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศที่เร่งเพิ่มจำนวนแรงงานไทยในอิสราเอลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยสถิติในแต่ละปีมีดังนี้ 

 

  • ปี 2018 / 8,409 คน
  • ปี 2019 / 9,122 คน 
  • ปี 2020 / 2,547 คน 
  • ปี 2021 / 6,081 คน
  • ปี 2022 / 9,417 คน 
  • ปี 2023 / 25,887 คน (กันยายน) 

 

หลังจากนี้ต่อไปจำนวนแรงงานไทยในอิสราเอลอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการผลักดันของกระทรวงแรงงานของทั้งสองประเทศ หากมองในแง่รายได้และเงินเข้าประเทศก็จะสูงขึ้น แต่หากมองในมิติของความปลอดภัยและภาพลักษณ์ของประเทศอาจมีความเสี่ยงสูง

 

เมื่อรัฐบาลและกระทรวงแรงงานตัดสินใจเดินหน้าเพิ่มจำนวนแรงงานในอิสราเอลมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังสุ่มเสี่ยงก็คงต้องทำงานหนักในการดูแลความปลอดภัยพี่น้องแรงงานไทยให้ดีที่สุด ไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนที่รายงาน BBC เคยนำเสนอ และไม่ให้ถูกบังคับทำงานในพื้นที่เสี่ยงตามที่กรมการจัดหางานได้ยืนยันว่าแรงงานไทยจะไปทำงานในพื้นที่ปลอดภัย ‘พื้นที่สีเขียว’ ตามกองบัญชาการแนวหน้าของอิสราเอลกำหนดเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ประเด็นที่น่าสนใจและน่าติดตามคือถ้าแรงงานไทยที่เคยทำงานในพื้นที่เสี่ยงไม่กลับไปทำอีก แล้วจะเป็นแรงงานประเทศไหนที่จะกล้าไปทดแทนพื้นที่นั้น 

 

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวหากมองในแง่ความปลอดภัยและบริบทกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยควรมีการทบทวนนโยบายการส่งแรงงานไทยไปอิสราเอล อย่างน้อยใน 3 เหตุผลหลักๆ 

 

1. การใช้คำสั่งฮันนิบาล (Hannibal Directive) ของกองทัพอิสราเอล

 

ในการสู้รบที่ผ่านมา โยอาฟ กาลลานต์ ซึ่งขณะที่เกิดเหตุวันที่ 7 ตุลาคม เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ได้รับสารภาพว่าได้ใช้คำสั่ง Hannibal Directive ในบางพื้นที่ในระหว่างการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 คำสั่งนี้เป็นคำสั่งทางทหารที่กำหนดให้ใช้กำลังทุกรูปแบบ เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารหรือพลเรือนของอิสราเอลถูกฝ่ายตรงข้ามจับกุมเป็นตัวประกันหรือเชลยศึก เพราะจะทำให้อิสราเอลเสียอำนาจต่อรองโดยเฉพาะการสร้างเงื่อนไขแลกเปลี่ยนตัวเชลยศึก อีกทั้งยังอาจจะจำกัดปฏิบัติการของอิสราเอลด้วย คำสั่งนี้จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ถูกจับหรือพลเรือนเสียชีวิต พูดอย่างง่ายๆ คือ สังหารได้หมดทั้งฝ่ายตรงข้าม ทหารและพลเรือนของตัวเอง โดยมีเป้าหมายอย่างเดียวคือไม่ให้ถูกจับตัวไป คำสั่งนี้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในทศวรรษ 1980 และมีการใช้อีกในปี 2006 ปี 2014 และล่าสุดปี 2023

 

การใช้คำสั่งนี้ครั้งล่าสุดสอดคล้องกับรายงานของสื่ออิสราเอลอย่าง Haarezt ที่ระบุว่า IDF กราดยิงผู้คนในงานเทศกาลดนตรี โดยใช้เฮลิคอปเตอร์โจมตีแบบ Apache เพราะเข้าใจว่าเป็นฮามาส หรือไม่ก็ไม่สามารถแยกแยะใครเป็นใคร (อ้างอิงจากข้อมูลตำรวจที่ไม่เปิดเผยตัว ) Haarezt ยังระบุว่าในช่วงไม่กี่ชั่วโมงแรกที่มีการโจมตีวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ทหารอิสราเอลได้รับคำสั่งว่า “อย่าให้มียานพาหนะแม้แต่คันเดียวกลับเข้าไปในกาซา”

 

สอดคล้องกับคำพูดของประจักษ์พยานชาวอิสราเอลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม ยาสมิน โปรัต สาวชาวอิสราเอลหนึ่งในตัวประกันที่ถูกฮามาสจับตัวจาก Kibbutz Be’eri เธอเป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมเทศกาลดนตรีซูเปอร์โนวา เธอบอกว่า “พอทหารอิสราเอลมาถึงจุดเกิดเหตุ พวกเขากำจัดทุกคนรวมทั้งตัวประกันด้วยการระดมยิงอย่างหนัก” (They eliminated everyone, including the hostages. There was very veryheavy crossfire.) คำพูดของเธอสอดคล้องกับหลักฐานที่ปรากฏจากทหารอิสราเอลซึ่งอธิบายว่าทหารอิสราเอลระดมยิงไปยังอาคารแห่งหนึ่งที่กลุ่มติดอาวุธกับตัวประกันซ่อนตัวอยู่

 

การยอมรับของกาลลานต์ทำให้สื่ออิสราเอลรายงานว่าทหารอิสราเอลได้ปฏิบัติการสังหารพลเรือนของตัวเองจากคำสั่งฮันนิบาล โดยเฉพาะในเทศกาลดนตรีและอาจจะในพื้นที่อื่นๆ ด้วย ดังนั้น สถานการณ์ที่น่ากลัวของสงครามที่ซ้อนด้วยความน่ากลัวของคำสั่งฮันนิบาลจึงเป็นความอันตรายอย่างที่สุดในกรณีของการสู้รบที่อาจปะทุขึ้นอีกในอนาคต โดยเฉพาะหากมีการปฏิบัติการจากทางเหนือโดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และจากทางใต้โดยกลุ่มฮามาสหรืออาจปะทุจากพรมแดนซีเรียก็เป็นได้ หรืออาจเกิดขึ้นในเขตเวสต์แบงก์ หากเกิดความรุนแรงหรือการเผชิญหน้าขึ้น เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีการใช้คำสั่งฮันนิบาลหรือไม่เพราะถือเป็นชั้นความลับที่ไม่ต้องเปิดเผย เช่นที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตในวันนั้นเป็นฝีมือของกลุ่มฮามาสกี่คน ทหารอิสราเอลกี่นาย 

 

คำถามคือหากมีการใช้คำสั่งฮันนิบาลในพื้นที่ที่มีแรงงานหรือในเขตพื้นที่พลเรือน สถานการณ์จะอันตรายมาก เรื่องนี้มีการทำความเข้าใจกับแรงงานมากน้อยแค่ไหนหรือรัฐบาลและกระทรวงแรงงานจะดำเนินการอย่างไร เราพร้อมเสี่ยงแค่ไหน ใครจะรับผิดชอบความสูญเสียที่เกิดขึ้น

 

2. การส่งแรงงานไปยังพื้นที่ยึดครองผิดกฎหมายอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นการสนับสนุนการยึดครอง

 

สหประชาชาติถือว่าอิสราเอล ‘ยึดครองดินแดนปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมาย’ และขัดต่ออนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ว่าด้วยการยึดครองดินแดน โดยถือว่าเวสต์แบงก์ เยรูซาเลมตะวันออก และฉนวนกาซาเป็นดินแดนที่ถูกอิสราเอลยึดครองหลังสงคราม 1967 UN ได้ผ่านมติหลายฉบับเกี่ยวกับการยึดครองของอิสราเอล โดยเฉพาะมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ Resolution 242 (1967) ที่เรียกร้องให้อิสราเอลถอนตัวออกจากดินแดนที่ยึดครองในสงครามปี 1967 นอกจากนี้มติ 338 (1973) และมติอื่นๆ ที่เสริมในจุดยืนดังกล่าว

 

ตามอนุสัญญาเจนีวารัฐที่ยึดครองดินแดนของรัฐอื่นโดยผิดกฎหมาย ไม่มีสิทธิบังคับโยกย้ายประชากรหรือใช้ทรัพยากรแรงงานในพื้นที่นั้นเพื่อประโยชน์ของตนเอง การส่งแรงงานไปทำงานในพื้นที่ที่ถูกยึดครอง อาจถือเป็นการสนับสนุนการยึดครองที่ผิดกฎหมาย จนอาจนำไปสู่ข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4, มาตรา 51 และ 52 ห้ามการใช้แรงงานบังคับจากประชาชนในพื้นที่ที่ถูกยึดครอง และห้ามการใช้แรงงานในลักษณะที่อาจทำให้เกิดการละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิการทำงานของพวกเขา สถานการณ์ตอนนี้คืออิสราเอลเร่งนำเข้าแรงงานเพื่อไปทดแทนแรงงานชาวปาเลสไตน์ที่เป็นเจ้าของพื้นที่แต่ถูกยึดครอง 

 

ด้วยเหตุนี้การส่งแรงงานเข้าสู่พื้นที่ที่อิสราเอลยึดครองอาจเท่ากับการสนับสนุนเศรษฐกิจของการตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลหรือการทำงานในอุตสาหกรรมที่สนับสนุนการยึดครองกระทรวงแรงงานต้องมั่นใจและรับประกันว่าแรงงานไทยจะไม่ไปทำงานในพื้นที่ยึดครอง เพราะอิสราเอลได้มีการสร้างชุมชนและตั้งถิ่นฐาน (settlements) ในพื้นที่เหล่านี้ และย้ายประชากรอิสราเอลเข้ามาซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ หากประเทศไทยส่งแรงงานไปทำงานในอิสราเอลควรแน่ใจว่าไม่ใช่พื้นที่ยึดครอง มิเช่นนั้นอาจถูกมองว่าเป็นการสมคบกันละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และสนับสนุนการยึดครองที่ผิดกฎหมาย ทั้งที่ไทยเองก็รับรองรัฐปาเลสไตน์

 

พื้นที่รอบกาซาซึ่งเป็นพื้นที่ที่อิสราเอลใช้ทำการเกษตรและมีทหารควบคุมโดยรอบ เป็นพื้นที่ที่แรงงานไทยไปทำงานกันมากเพราะได้ค่าตอบแทนสูง องค์การสหประชาชาติและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถือว่าการยึดครองฉนวนกาซาและบางพื้นที่รอบๆ นั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ

 

การไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงหรือประเทศที่อยู่ในสงครามยิ่งต้องพิจารณาให้รอบคอบทุกแง่มุม โดยเฉพาะอนุสัญญาแรงงานบังคับขององค์การแรงงานสากล (ILO, No. 29 และ 105) เพราะหากรัฐบาลส่งแรงงานไปทำงานในพื้นที่ยึดครองหรือพื้นที่เสี่ยง แม้แรงงานจะสมัครใจไป แต่หากสภาพแวดล้อมในการทำงานมีความเสี่ยงสูง เช่นภาวะสงครามหรือสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย หรือแรงงานถูกหลอกลวงเกี่ยวกับเงื่อนไขการทำงาน เช่นการบอกเงื่อนไขที่ดีแต่ไม่เป็นไปตามนั้นอาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ กระทรวงแรงงานต้องอำนวยความสะดวกในการพาแรงงานไทยกลับ มิเช่นนั้นแล้วอาจเป็นการละเมิดสิทธิของแรงงานและถือเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศเช่นกัน กรณีแรงงานไม่รู้ถึงความเสี่ยงที่แท้จริงของการทำงาน หรือหากแรงงานมีสภาพแวดล้อมที่บังคับให้ต้องทำงานในสถานที่ที่ไม่สามารถออกจากพื้นที่ได้ เช่น เกิดภาวะสงคราม ก็อาจเป็นการส่งเสริมทางอ้อมให้เกิดการละเมิดสิทธิแรงงาน อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วเมื่อรัฐบาลทราบว่าประเทศใดอยู่ในภาวะสงครามก็ไม่ควรจัดส่งแรงงานไปทำงานในประเทศเหล่านั้น

 

อีกประการที่ต้องคำนึงคือหากมีการหลอกลวงเกี่ยวกับเงื่อนไขการทำงาน เช่น การสัญญาว่าจะได้รับเงินเดือนสูง หรือจะได้งานที่ปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วอาจต้องทำงานในสภาพที่ไม่ดีหรือเป็นอันตรายหรือการทำงานในสงคราม การทำงานในสถานที่ที่มีอันตรายก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิแรงงาน กระทรวงแรงงานจึงจำเป็นต้องรับรองในหลายประเด็นทั้งความปลอดภัย การทำงานในพื้นที่สีเขียว ไม่ใช่พื้นที่ยึดครองหรือพื้นที่เสี่ยง กระทรวงแรงงานต้องแจ้งสถานะทางกฎหมายของพื้นที่ให้แรงงานทราบ เพื่อไม่ให้เข้าข่ายถูกหลอกลวงจากรัฐอื่นหรือนายจ้าง และทำให้แน่ใจว่าแรงงานเข้าใจสภาพความเสี่ยงในพื้นที่ที่จะไปทำงานอย่างแท้จริง

 

รัฐบาลและกระทรวงแรงงานควรจับตาให้ดีกรณีสันนิบาตอาหรับรับรองแผนฟื้นฟูกาซาของอียิปต์เพราะเป็นท่าทีที่ค่อนข้างหนักแน่นเป็นเอกภาพอย่างที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก เสียงของอาหรับวันนี้มีความจริงจังในการผลักดันการตั้งรัฐปาเลสไตน์และให้สหประชาชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หนึ่งในสาระสำคัญของแผนดังกล่าวคือการเรียกร้องให้กองกำลังรักษาสันติภาพ UN (peace keeping force) เข้าประจำการในกาซาและเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครองเพื่ออำนวยสู่การตั้งรัฐปาเลสไตน์ หากอาหรับจริงจังมากขึ้นกับเรื่องนี้ก็จะเข้มงวดกับข้อกฎหมายระหว่างประเทศและข้อมติ UN ต่างๆ เกี่ยวกับปาเลสไตน์รวมทั้งสิทธิโดยชอบธรรมของปาเลสไตน์ในดินแดนภายใต้การยึดครอง

 

หากเป็นเช่นนั้น อาจเสนอให้ UN พิจารณาดำเนินการให้การใช้ทรัพยากรแรงงานเพื่อสนับสนุนการยึดครองที่ผิดกฎหมายนั้นขัดต่อมติของ UN และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รัฐใดส่งแรงงานไปยังพื้นที่ยึดครองอาจถูกคว่ำบาตรหรือประณาม โดยเฉพาะเมื่อถูกมองว่าเป็นการสนับสนุนการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ องค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) หรือคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) อาจสอบสวนและเรียกร้องให้รัฐนั้นยุติการกระทำดังกล่าว ไทยซึ่งจะเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติควรพึงระมัดระวังเรื่องนี้ให้ดี นอกจากนี้ยังอาจมีผลกระทบที่มาจากขบวนการ BDS ทั่วโลกซึ่งรณรงค์คว่ำบาตร ถอนการลงทุน และลงโทษ (Boycott , Divestment, Sanction) ต่อผู้สนับสนุนการยึดครองและการแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่ยึดครองผิดกฎหมายในปาเลสไตน์ 

 

3. แนวโน้มความรุนแรงและสถานการณ์อันตรายที่คาดการณ์ไม่ได้

 

สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับฮามาสและความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงเป็นในปัจจุบัน และอนาคตยังคงสุ่มเสี่ยงที่จะระเบิดเป็นสงครามที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้างในทุกเมื่อ เพราะดุลอำนาจที่กำลังปรับเปลี่ยนทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค คู่ขัดแย้งสู้กันไม่ถอยแบบไม่มีใครยอมใคร การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงแต่ละครั้งเป็นเรื่องยากลำบาก การประคองข้อตกลงหยุดยิงให้ดำเนินต่อยิ่งเป็นเรื่องยาก สัญญาณการโจมตีและการเปิดศึกใหญ่มีให้เห็นเป็นระยะๆ มีการข่มขู่และกดดันกันไปมาอยู่ตลอด อิสราเอลยังคงถล่มกาซาเป็นระยะๆ และแสดงทีท่าจะกลับมาถล่มหนักอีก ในเวสต์แบงก์ 

 

นอกจากกองกำลังของอิสราเอลจะยังโจมตีอย่างต่อเนื่องแล้ว ในเวลาเดียวกันก็รุกล้ำเข้าไปในมัสยิดอัลอักศอ ซึ่งเป็นศาสนสถานสำคัญอันดับ 3 ของอิสลาม หลายครั้งการปะทะกันระหว่างฮามาสกับอิสราเอลในปีที่ผ่านๆ มักมีสาเหตุมาจากความรุนแรงนี้ สหรัฐฯ ภายใต้ โดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากขู่หลายครั้งว่าถ้าฮามาสไม่ยอมทำตามเงื่อนไข ‘นรกทุกขุมจะแตก’ ทุกอย่างจะพินาศ อีกทั้ง ยังจัดส่งอาวุธให้อิสราเอลจำนวนมากและยืนยันว่าสนับสนุนการตัดสินใจของอิสราเอล ในขณะที่กลุ่มฮูตีในเยเมนก็ขีดเส้นตายให้อิสราเอลเปิดทางให้การจัดส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปในกาซาภายใน 4 วัน ไม่เช่นนั้นกลุ่มฮูตีจะกลับมาถล่มอิสราเอล สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ก็ยังไม่จบและอาจกลับมาปะทุอีกหากสถานการณ์ในกาซากลับมารบกันอีก มากไปกว่านั้นกระแสข่าวว่าอิสราเอลอาจโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านในครึ่งปีแรกยิ่งทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางไม่น่าไว้วางใจ หากใครประเมินพลาดหรือประเมินว่าตัวเองจะชนะไม่ยากอาจนำไปสู่การยกระดับสงครามในภูมิภาค 

 

สถานการณ์ข้างหน้ายังเสี่ยงและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน รัฐบาลต้องประเมินสถานการณ์นี้ให้ดี การฝากความหวังไว้กับระบบป้องกันอิสราเอลก็พิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอจนสหรัฐฯ ต้องเสริมระบบป้องกันเพิ่มให้ หากเกิดสถานการณ์รุนแรงเลวร้ายในขณะที่แรงงานเราหลายหมื่นคนหรือเป็นแสนตามที่อิสราเอลตั้งเป้าไว้ หากต้องอพยพกลับในเวลาเร่งด่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่สามารถออกได้จะกลายเป็นปัญหาตามข้อ 2 และหากแรงงานอยู่ในพื้นที่สู้รบ เราจะปลอดภัยได้อย่างไรจากลูกหลงและคำสั่งฮันนิบาล

 

การส่งแรงงานไปอิสราเอลต้องคำนึงให้มากเรื่องความปลอดภัยและไม่ตกเป็นตัวประกันของความขัดแย้ง รัฐบาลต้องแน่ใจว่าเราไม่ไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ยึดครอง ควรตระหนักในอนุสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสถานะของปาเลสไตน์ ตลอดจนจุดยืนของเราและประชาคมโลกว่าด้วยการยอมรับแนวทางสองรัฐ (Two State Solution) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับแรงงานเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของพื้นที่นั้น และระดับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญเพื่อประกอบการตัดสินใจ ทั้งหมดนี้คือความรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน 

 

ภาพ: David Silverman / Getty Images

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising