“ความหลากหลายและความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่ทำให้เอไอเอสเติบโตอย่างยั่งยืน”
คำกล่าวนี้ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรู แต่เป็นแนวคิดที่หล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่ง จนทำให้เอไอเอส ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Top 50 Companies in Thailand 2024 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการผลักดันแนวคิด DEI (Diversity, Equity และ Inclusion) ที่มุ่งสร้างความเท่าเทียมในทุกระดับ ผ่านการ ‘โอบรับความหลากหลาย’ และเปิดพื้นที่ให้ทุกคน ‘เบ่งบานในแบบของตัวเอง’ ซึ่งเอไอเอสเชื่อมั่นว่าความหลากหลายจะเป็นพลังที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืน
เนื่องในโอกาสวันสตรีสากลอันเป็นสัญลักษณ์ของการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศและความเท่าเทียม ในปีนี้ THE STANDARD ได้รับโอกาสพิเศษในการพูดคุยกับ กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส พร้อมด้วยพนักงานจากเอไอเอสทั้ง 4 เพื่อเจาะลึกถึงแนวคิดการเสริมสร้างความเท่าเทียมและการขับเคลื่อนองค์กรนี้ให้เติบโตเคียงข้างสังคม
วัฒนธรรมองค์กรที่ ‘เข้าใจทุกความหลากหลาย’
กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท เอไอเอส กล่าวว่า
“เอไอเอสเชื่อว่าความสวยงามเกิดจากความแตกต่าง เวลาที่เราไปสวนดอกไม้ ถ้าเห็นดอกไม้เหมือนกันหมดก็คงไม่งดงาม องค์กรก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”
กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท เอไอเอส
กานติมาเริ่มต้นเล่าถึงแนวคิดการยอมรับความหลากหลายที่เอไอเอสยึดถือ โดยมองว่าปัจจุบันต้องมองข้ามการสร้างบุคลากรในแม่พิมพ์เดียวกัน เธอเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนองค์กรให้แข็งแกร่งต้องอาศัยความแตกต่างทั้งในแง่มุมมองความคิดและประสบการณ์
สำหรับเอไอเอส เริ่มต้นหล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กรมานานกว่า 10 ปี โดยมีนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมในทุกมิติ ตั้งแต่การปรับโครงสร้างองค์กรที่ลดความเป็นลำดับชั้น วัฒนธรรมองค์กร Fit, Fun, Fair โดยเฉพาะ Fair ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน การนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาช่วยในการเพิ่มศักยภาพพนักงาน การสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่และการส่งต่อแนวคิดความเท่าเทียมสู่สังคม
“เอไอเอสเชื่อว่าทุกคนมีจุดแข็งของตัวเอง มีเพียงอย่างเดียวที่เชื่อมทุกความหลากหลายให้อยู่ร่วมกันได้ในสังคม นั่นคือ กติกา การยอมรับที่ไม่ล้ำเส้นกัน” กานติมากล่าว
เทคโนโลยีและ AI: กุญแจสู่ความเท่าเทียม
เอไอเอสนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้เพื่อเสริมศักยภาพการทำงานของพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียม ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการนำ AI มาช่วยแปลงข้อมูลของสินค้าและบริการต่างๆ เป็นเสียง เพื่อเปิดโอกาสและเป็นผู้ช่วยให้พนักงานผู้พิการทางสายตาสามารถสื่อสารและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แขก–รสสุคนธ์ โตประยูร พนักงานคอลเซ็นเตอร์ ผู้พิการทางสายตา กล่าวว่า
“เอไอเอสเป็นองค์กรที่มองข้ามขีดจำกัดของร่างกาย และให้ความสำคัญกับศักยภาพที่เรามี เช่น หูที่ได้ยินและปากที่สามารถให้บริการกับลูกค้าได้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ”
แขก-รสสุคนธ์ โตประยูร
แขกเสริมว่า เครื่องมือที่ใช้ AI ในการแปลงข้อความเป็นเสียงที่เอไอเอสจัดเตรียมให้ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานแล้ว ยังเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงาน เช่น การเดินทาง เพราะสามารถทำงานที่บ้านได้
“การได้ทำงานที่เอไอเอส ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเกิดความภาคภูมิใจกับตัวเอง” แขกกล่าวด้วยน้ำเสียงขอบคุณ
ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานผู้พิการสามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ AI ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานทุกช่วงวัยได้อย่างเท่าเทียม
หมู-สุนทรี งามวิทย์โรจน์ หัวหน้าส่วนงานบริหารโครงการและงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เล่าว่า
“เอไอเอสเป็นองค์กรที่เปิดกว้าง สนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา มี AIS Academy ซึ่งเป็นสถาบันพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่ช่วยให้ทุกคน ไม่ว่าจะรุ่นไหน ได้พัฒนาทักษะของตัวเองอยู่เสมอ”
หมู-สุนทรี งามวิทย์โรจน์
หมู มองว่า AI ไม่ใช่กำแพง แต่ AI คือผู้ช่วยของคนรุ่นเก๋า เพราะช่วยให้พนักงานที่อาวุโสทำงานได้ง่ายขึ้น
“จุดเด่นของรุ่นเก๋าคือ ประสบการณ์และทักษะการแก้ปัญหา พอมี AI เข้ามาช่วย ก็ยิ่งทำให้เราใช้ศักยภาพได้เต็มที่”
หมูยอมรับว่าปัจจุบันแม้จะมีความแตกต่างเรื่องค่านิยมและแนวคิดกับคนรุ่นใหม่ แต่ไม่รู้สึกว่าความแตกต่างระหว่างวัยเป็นอุปสรรคในการทำงาน เพราะที่เอไอเอสมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยนำทางให้เราได้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอและก้าวทันสังคมได้ตลอดเวลา
เปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ ‘ลงมือทำจริง’
เอไอเอสเชื่อเรื่องการเปิดพื้นที่ให้กับคนรุ่นใหม่ได้ทดลองและเรียนรู้จากประสบการณ์จริงผ่านโครงการต่างๆ
โอ๊ต–พิชญะ อินทรพัฒนาวาณิช พนักงานในโครงการ The Masters มองว่า เอไอเอสเป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้ “ลอง” และ “เลือก” เส้นทางที่เป็นตัวตนของเราเอง อย่าง The Masters ตัวอย่างโครงการที่เฟ้นหา และพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ให้ได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานที่หลากหลาย ผ่านการหมุนเวียนไปทำงานในหลากหลายแผนก ที่นอกจากจะได้ความรู้และประสบการณ์แล้ว ยังทำให้โอ๊ตได้ร่วมงานกับพี่ๆ พนักงานต่างช่วงวัยมากมาย ซึ่งพิสูจน์ให้เข้าใจได้ว่าช่องว่างระหว่างวัยไม่ใช่ปัญหาในการทำงานร่วมกัน
โอ๊ต-พิชญะ อินทรพัฒนาวาณิช
“ตั้งแต่ฝึกงาน ตลอดจนมาเป็นพนักงานที่เอไอเอส ผมได้รับโอกาสมากมายในการพัฒนาตัวเองในด้านที่สนใจ ได้ทำคอนเทนต์ เป็นพิธีกรรายการต่างๆ โดยไม่มีใครมองว่าอายุน้อยเป็นข้อจำกัด และยังได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของพี่ๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ”
เช่นเดียวกับเปียว – เปรื่องปรัช พันธุ์ดี วิศวกรอาวุโส ผู้ทำงานที่เอไอเอสมากว่า 9 ปี มองว่าเอไอเอสเป็นองค์กรที่เปิดกว้าง เห็นได้จากโครงการต่างๆ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมในสังคม เปียวได้มีโอกาสเป็นพี่เลี้ยงโครงการ JUMP Thailand Hackathon 2024 ซึ่งมีโจทย์ให้นิสิตและนักศึกษามาร่วมกันคิดค้นเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุและผู้พิการ
เปียว-เปรื่องปรัช พันธุ์ดี
เปียวมองเห็นศักยภาพและความตั้งใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อคิดค้นและนำเสนอไอเดียนวัตกรรมเทคโนโลยี AI อัจฉริยะ เพื่อพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับคนพิการและผู้สูงอายุ มากไปกว่านั้นคือแรง บันดาลใจจากการได้เห็นกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุที่มาทดลองใช้นวัตกรรมของคนรุ่นใหม่ด้วยแววตาขอบคุณ
“ผมมองเห็นแววตาแห่งความตั้งใจของน้องๆ รุ่นใหม่ และแววตาขอบคุณจากกลุ่มผู้สูงอายุ มันทำให้เห็นคุณค่าของงานที่เราทำ และรู้สึกว่าเอไอเอสได้ส่งต่อพลังที่สร้างสรรค์สังคมอย่างแท้จริง” เปียวกล่าว
จากความเท่าเทียมในองค์กร สู่ความเท่าเทียมในสังคม
การบ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรที่ยอมรับความหลากหลาย ส่งผลให้พนักงานเอไอเอส สามารถเข้าใจและให้บริการลูกค้าที่มีความหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีและ AI มาขับเคลื่อนองค์กรทำให้เอไอเอสสามารถส่งมอบสินค้าและบริการที่หลากหลาย รองรับกลุ่มลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์
ก่อนจบบทสนทนากานติมาได้กล่าวทิ้งท้ายโดยเน้นย้ำถึงนิยามความเท่าเทียมตามแบบฉบับของเอไอเอสว่า
“ความเท่าเทียมตามแบบฉบับของเอไอเอสไม่ใช่การแปะป้ายว่าแต่ละคนเป็นใครเพื่อเพิ่มสิทธิพิเศษให้ แต่เป็นการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกัน และเปิดพื้นที่ในการแสดงตัวตนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนได้พัฒนาศักยภาพในแบบของตัวเองและเติบโตไปพร้อมองค์กร ซึ่งเอไอเอสมองว่า นั่นเป็นการยอมรับความหลากหลายที่แท้จริง”