วันนี้ (6 มีนาคม) จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ปัญหา บุหรี่ไฟฟ้า ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
จิราพรระบุว่า ที่ประชุมหารือถึงการปราบปรามระยะเร่งด่วน และการประชาสัมพันธ์ ปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย พร้อมกับนำเสนอมาตรการแก้ปัญหาระยะยาว โดยสั่งการในที่ประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายและปราบปราม สรุปข้อมูลทั้งหมดไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรวบรวมยอดการปราบปราม บุหรี่ไฟฟ้า ก่อนนำเรียนนายกรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ และจะมีการแถลงข่าวให้ประชาชนได้รับทราบ
ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์หรือสายด่วน สคบ. 1599 สายด่วนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) 1212 หรือศูนย์ดำรงธรรมแต่ละจังหวัด ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสบุหรี่ไฟฟ้าได้ และในระยะยาวสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ประชาชนแจ้งเบาะแส คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์จะแล้วเสร็จ เพื่อจะได้เห็นความคืบหน้าการทำงานของเจ้าหน้าที่
ส่วนการประชาสัมพันธ์สร้างการตระหนักรู้โทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายต่างๆ จะเน้นไปที่สถานศึกษาซึ่งเป็นข้อกังวลของนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปดูกฎหมายที่ต้องปรับปรุง และจำเป็นต้องมีคณะกรรมการเพื่อดูกฎหมายฉบับที่เกี่ยวข้องกันแล้วนำไปแก้ไข พร้อมกันนี้จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ซึ่งจะเรียนนายกรัฐมนตรีให้รับทราบตามกรอบระยะเวลา 15 วัน คือไม่เกินวันที่ 15 มีนาคมนี้
ขณะที่การขายบุหรี่ไฟฟ้า ร้านค้าออนไลน์ ทางกระทรวง DE จะมี AI ตรวจจับตามคีย์เวิร์ด และประสานให้เอาลงจากแพลตฟอร์ม ซึ่งเมื่อวานนี้ (5 มีนาคม) สคบ. เชิญแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงผู้ประกอบการขนส่งเพื่อกำชับไม่ให้มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ และติดป้ายบริเวณจุดส่งสินค้าว่าไม่ให้มีการส่งบุหรี่ไฟฟ้า
สำหรับการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า จิราพรระบุว่า พบลักลอบนำเข้าทางเรือมากที่สุด รวมถึงตามด่านชายแดนต่างๆ โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรมศุลกากรจะเป็นหน่วยงานหลักที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นมากขึ้น และต่อจากนี้ทุกเคสที่มีการจับกุมได้ที่ด่านศุลกากรจะไม่มีการระงับคดีเด็ดขาด แต่จะส่งให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สืบเส้นทางการเงิน และนำสู่การยึดทรัพย์ แล้วจะส่งให้ตำรวจสอบสวนกลางดำเนินคดีต่อ
ส่วนของกลางที่ยึดจับกุมได้หากคดีถึงที่สุดแล้วจะมีการทำลาย ซึ่งขณะนี้ศุลกากรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะทำลายรูปแบบไหน และทราบว่างบประมาณส่วนนี้ยังไม่เพียงพอ ซึ่งจะนำปรึกษานายกรัฐมนตรีต่อไป ส่วนของกลางที่จับกุมใหม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อนจึงจะทำลายได้
ทั้งนี้ เราต้องทำให้ผู้ลักลอบนำเข้ามีค่าใช้จ่ายมากที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้ทำผิดซ้ำได้อีก และมีการใช้กฎหมายที่เข้มข้นขึ้น หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย หากของกลางมูลค่าเกิน 5 แสนบาท จะส่ง ปปง. ดำเนินการต่อทันที แต่หากต่ำกว่า 5 แสนบาท จะมีการสืบทรัพย์ส่ง ปปง. ดำเนินการต่อเช่นกัน