บ้านปูประกาศเป้าหมายภายในปี 2573 จะมี EBITDA เกิน 2,000 ดอลลาร์ โตขึ้น 1.5 เท่า จากปี 2567 พร้อมประกาศแผนลงทุนในธุรกิจพลังงาน-เหมืองแร่นิกเกิลในต่างประเทศ
สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยในงานแถลงข่าวผลประกอบการปี 2567 และทิศทางการดำเนินธุรกิจของ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทฯ ตั้งหมายในปี 2573 จะมีกำไรก่อนภาษี, ค่าเสื่อม และดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA) เกิน 2,000 ดอลลาร์ เติบโตขึ้นประมาณ 1.5 เท่า เมื่อเปรียบเทียบจากปี 2567 พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนของ EBITDA ที่จะมาจากกลุ่มถ่านหินให้ลดลงเหลือสัดส่วนให้ต่ำกว่า 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 60% อีกทั้งไม่มีแผนลงทุนในธุรกิจถ่านหินเพิ่มเติม
ทั้งนี้ หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้มีนโยบายสนับสนุนต้องการให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำของโลกในด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตแอลเอ็นจี ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วนกระแสการขยายการลงทุนกลุ่มธุรกิจ AI, Digital Infrastructure, Data Center ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลกและประเด็นร้อน (Hot Topic) ที่จะส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะในสหรัฐฯ กับกลุ่มประเทศในเอเชียที่บริษัทมีการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งบริษัทฯ ก็มีการลงทุนในกลุ่มธุรกิจพลังงานดังกล่าวอยู่แล้วทั้งในสหรัฐฯ และเอเชีย ดังนั้นมีการวาง Position ของบริษัทฯ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตดังกล่าว รวมยังมองหาโอกาสการขยายการลงทุนเพิ่มอีกด้วย
สำหรับแผนในปีนี้ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้เข้าซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ (M&A) เป็นหลัก ซึ่งในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับ M&A เพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทฯ มีความพร้อมของฐานะทางการเงินจากปัจจุบันที่มี Net Debt to Equity ที่ต่ำอยู่ที่ประมาณ 0.8 เท่า ซึ่งแม้ลงทุนตามแผนธุรกิจดังกล่าวแล้ว บริษัทฯ ก็จะยังมี Net Debt to Equity ขยับเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังต่ำกว่า 1 เท่า
ทั้งนี้ แผนลงทุนดังกล่าวจะแบ่งสัดส่วนเป็นเงิน 60% ใช้ลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า 20%, พลังงานหมุนเวียน และอีก 20% เป็นธุรกิจกลุ่มเหมืองแร่ใหม่ โดยโฟกัสเหมืองแร่นิกเกิลในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแร่สำหรับพลังงานสะอาดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจแบตเตอรี่และรถอีวี เนื่องจากมีมุมมองว่าดีมานด์และซัพพลายสมดุลแล้ว ดังนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน โดยคาดว่าดีลการทำ M&A เหมืองแร่นิกเกิลในอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเจรจาคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
อย่างไรก็ดี การลงทุนเหมืองแร่นิกเกิลในอินโดนีเซียในช่วงเริ่มต้นการลงทุนอาจมีขนาดไม่ใหญ่นัก ซึ่งหลังจากลงทุนแล้วเห็นโอกาสก็จะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อไปในอนาคต ส่วนนโยบายการลงทุนของบริษัทฯ ในปีนี้จะเน้นในประเทศที่มีการลงทุนอยู่แล้วเพราะเป็นประเทศที่บริษัทฯ มีความเข้าใจทั้งสหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, จีน, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย
“ในกลุ่มประเทศอาเซียนก็มองว่ามีโอกาสการลงทุนมากมาย แต่ก็ต้องติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ ด้วยว่าจะกระทบอย่างไร ตอนนี้ยังต้องรอดูอย่างใกล้ชิด แต่ตอนนี้ BANPU อยู่ใน Position ที่ดีมีพลังงานทุกประเภททั้งพลังงานแบบดั้งเดิมมีทั้งถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ และพลังงานสะอาด” สินนท์กล่าว
สำหรับในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณขายถ่านหินรวมอยู่ที่ประมาณ 45 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มียอดขายรวมที่ 37.2 ล้านตัน โดยมาจากกำลังผลิตของเหมืองในอินโดนีเซีย, ออสเตรเลีย และจีน ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ถ่านหินยังสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากกลุ่มโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และไต้หวัน
ด้านกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้ามีทิศทางแข็งแกร่ง จากปัจจัยของราคาก๊าซธรรมชาติที่ในปีนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพื่อนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าโดยคาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติในปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประมาณ 3-4 ดอลลาร์/Mcfe โดยราคาในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ขยับขึ้นเกินระดับ 3 ดอลลาร์/Mcfe แล้ว โดยสูงกว่าเมื่อเปรียบจากราคาเฉลี่ยในปี 2567 อยู่ที่ 2.08 ดอลลาร์/Mcfe
อีกทั้งความต้องการไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานสำหรับในกลุ่ม AI, Digital Infrastructure, Data Center ที่มีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจพลังงานของบริษัทฯ ส่วนกลุ่มการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCUS (Carbon Capture, Utilization and Sequestration) ก็คาดว่าจะมีแนวโน้มเห็นการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง