×

ลิเวอร์พูลทิ้งห่าง 11 แต้ม ปิดจ็อบพรีเมียร์ลีกแล้ว?

24.02.2025
  • LOADING...
liverpool-11-point-lead

การพลาดพ่ายคาบ้านเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ของอาร์เซนอลต่อเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ต่อด้วยการบุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีของลิเวอร์พูล กลายเป็น Turning Point จุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างมากต่อการลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้

 

เพราะจากที่ทีมของ มิเกล อาร์เตตา จะมีความหวังในการร่นระยะห่างระหว่าง 2 ทีมให้เหลือเพียงแค่ 5 แต้มในวันเสาร์ กลับกลายเป็นโอกาสที่ทำให้ลิเวอร์พูลหนีห่างไปไกลขึ้นอีกเป็น 11 แต้มในวันอาทิตย์ แม้ว่าจะลงแข่งขันมากกว่า 1 นัดก็ตาม

 

แต่คำถามที่น่าสนใจคือ แบบนี้แปลว่าลิเวอร์พูล ‘ปิดจ็อบ’ รอคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกจริงๆ แล้วใช่ไหม?

 

และเรายังเหลืออะไรให้ได้ลุ้นและติดตามอีกบ้างในฤดูกาลนี้?

 

We’re gonna win the league ที่ดังขึ้นอีกครั้ง

 

สายฝนโปรยปรายลงมาที่เอติฮัด สเตเดียม แต่กลุ่มแฟนบอลผู้เดินทางมาจากเมอร์ซีย์ไซด์ไม่คิดที่จะหยุดกู่ร้องกันง่ายๆ

 

“We’re gonna win the league”

 

“พวกเราจะคว้าแชมป์”

 

ค็อปชนต่างตะโกนร้องลั่นกันด้วยความปีติในช่วงท้ายเกม วนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกมจบลงไปนานแล้ว และไม่มีแฟนบอลซิติเซนส์เหลืออยู่ในสนามเลย หลังจากที่ได้เป็นสักขีพยานในวันที่ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ อาร์เน สลอต ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขานี่แหละคือทีมที่คู่ควรแล้วสำหรับการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริงคือแชมป์สมัยที่ 2 ของรายการ และแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 เทียบเท่ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล

 

การที่แฟนลิเวอร์พูลกู่ร้องกันแบบนี้ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้บ่อย เพราะเหล่า Kopite จะร้องต่อเมื่อพวกเขา ‘มั่นใจ’ แล้วว่ามันจะเป็นปีของพวกเขาจริงๆ

 

ก่อนหน้านี้ We’re gonna win the league เคยดังขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลังจากที่ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ได้บอลเปิดยาวมาจาก อลิสสัน เบ็คเกอร์ ก่อนจะหลุดเข้าไปยิงประตูย้ำชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลได้ 2-0 ซึ่งในฤดูกาลนั้น – แม้ว่าจะโชคร้ายเพราะมีโรคโควิดมาขวางกั้นการฉลองชัยชนะ – เจอร์เกน คล็อปป์ ก็ล้างอาถรรพ์ พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในรอบ 30 ปีจริงๆ

 

โดยที่ชัยชนะเหนือแมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่า ก็เป็นเกมที่สำคัญในระดับเดียวกัน

 

บทพิสูจน์ทั้งตัวและหัวใจ

 

ตลอดเกมทั้ง 90 นาทีที่เอติฮัด สเตเดียม ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะบุกมาเพื่อเอาชนะให้ได้ในเกมนี้

 

เพราะรู้ว่านี่คือโอกาสสำคัญที่สุดที่ไม่ควรจะปล่อยให้หลุดลอยไปเด็ดขาด

 

จริงอยู่ ฤดูกาลยังเหลืออีกยาวไกล และในทางคณิตศาสตร์ อาร์เซนอลยังมีโอกาสแซงพวกเขาได้เสมอใน 11-12 นัดที่เหลือ แต่ในทางฟุตบอลศาสตร์แล้ว เกมลูกหนังไม่ใช่บัญญัติไตรยางศ์ มันประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ มากมายที่สามารถทำให้เกิดเรื่องราวในสนามได้

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมที่คิดจะเป็นแชมป์คือ ‘ความสม่ำเสมอ’

 

และลิเวอร์พูลคือทีมที่สม่ำเสมอที่สุด แข็งแกร่งที่สุด เฉียบขาดที่สุด มากกว่าใครในฤดูกาลนี้

 

สิ่งนี้ได้เห็นจากการวางแผนแบบ ‘เน้นผล’ เพื่อเอาชนะแมนฯ ซิตี้ ให้ได้ของอาร์เน ด้วยการไม่ใช้ศูนย์หน้าของทีมเลย แต่ใช้ เคอร์ติส โจนส์ จับคู่กับ โดมินิก โซโบสไล ในแบบที่มิดฟิลด์สายเลือดสเกาเซอร์บอกหลังจบเกมว่า “Two Tens” เพื่อเพรสซิงใส่แนวรับของแมนฯ ซิตี้ ตั้งแต่แดนบน และเพิ่มความเหนียวแน่นในพื้นที่กลางสนาม

 

ที่เหลือคือการเล่นแบบ Direct ทิ้งบอลยาวเพื่อจู่โจมในเวลาที่แมนฯ ซิตี้ ขยับเติมเกมขึ้นมาบุก

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่นำลิเวอร์พูลไปสู่เส้นทางของชัยชนะคือ ‘ลูกสูตร’ ในช่วงต้นครึ่งแรกเมื่อ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ หลอกเปิดเรียดมาเสาแรก โดยมีโซโบสไลสลัดตัวประกอบ (แอนดี โรเบิร์ตสัน สกรีนไว้ให้อีกชั้น) ก่อนจะป้ายบอลเข้ากลางมาแบบเนียนๆ ให้ซาลาห์ใส่สกอร์อย่างสวยงาม

 

ประตูนี้ทำให้ลิเวอร์พูลที่กำลังเริ่มถูกทดสอบด้วยเกมรุกที่รวดเร็วของแมนฯ ซิตี้ มั่นใจ

 

ก่อนจะมาได้ประตูหนีห่างจากเกมโต้กลับเร็วตามที่วางแผนไว้โดย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทิ้งบอลยาวให้ซาลาห์สอดขึ้นมาจากข้างหลัง ก่อนจะดึงบอลหลอก แล้วผ่านบอลให้คืนโซโบสไล จบสกอร์อย่างเยือกเย็นเข้าไป

 

ที่เหลือคือการตรึงกำลังต้านเอาไว้ให้ได้ ซึ่งแม้วันนี้แชมป์เก่าจะไม่มี เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ หัวหอกหมายเลขหนึ่งที่อันตรายที่สุด แต่โดยรูปเกมแล้วแมนฯ ซิตี้ ก็สร้างความอันตรายปั่นป่วนได้พอสมควร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหยุดพายุบุแคมสีฟ้า

 

ความผิดพลาดครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนกระแสของเกมได้เลย และถ้าพลาดครั้งหนึ่งก็อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของทุกอย่างได้เหมือนกัน

 

แต่แนวรับของลิเวอร์พูลซึ่งนำโดย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ก็บัญชาเกมได้อย่างสุดยอด สั่งการให้ลูกทีมช่วยกันยันจนแมนฯ ซิตี้ ท้อแท้และอ่อนแรงกันไปเอง ประหนึ่งชาวโรฮันที่ต้านทานการบุกของเหล่าอุรุกไฮแห่งไอเซนการ์ด

 

ไม่ใช่แค่ฝีเท้าที่สอบผ่าน หัวใจของลิเวอร์พูลก็สอบผ่านด้วยในวันนี้

 

อาร์เซนอลไม่เหลือความหวัง?

 

สถานการณ์ปัจจุบัน หากอาร์เซนอลชนะรวดในอีก 12 นัดที่เหลือ จะมี 89 คะแนน นั่นหมายถึงลิเวอร์พูลซึ่งปัจจุบันมี 64 คะแนน ต้องการอีก 26 คะแนน ก็จะการันตีการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้

 

หรือเทียบง่ายๆ คือขอแค่ชนะ 9 จาก 11 นัดที่เหลือ ทุกอย่างจะเรียบร้อย

 

ฟุตบอลไม่ใช่เกมที่จะเทียบเป็นสมการได้ อาร์เนเองก็ออกตัวว่า พวกเขายังไม่ประมาทเหมือนเดิม “ในลีกอื่นการนำขนาดนี้ถือว่าสบายแล้ว แต่ในลีกนี้มันมีความท้าทายในทุกนัด เราก็ได้เห็นแล้วในเกมเอฟเอคัพที่เราเจอกับพลีมัธ อาร์ไกล์

 

“แฟนๆ อยากจะร้องเพลงอะไรก็ได้ที่พวกเขาอยากร้อง แต่เรารู้ว่ามีงานที่ยากขนาดไหนรออยู่ หลังจบเกมที่เราเสมอกับวิลลา มีคนถามผมว่า เรากำลังเป๋หรือเปล่า ตัวผมเองไม่เชื่อว่าเราจะเป๋ แต่ตอนนี้ผมเองก็ไม่มีอะไรที่จะบอกเหมือนกัน”

 

อย่างไรก็ดี ตามประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอลแล้ว ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีทีมที่นำโด่งขนาดนี้แล้วจะไม่พลาดแชมป์

 

ในฤดูกาล 1997/98 แมนฯ ยูไนเต็ด เคยนำห่างอาร์เซนอลถึง 11 แต้มถึงวันที่ 2 มีนาคม แต่สุดท้ายปล่อยให้ทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ไล่แซงจนทันได้สำเร็จ

 

ก่อนหน้านั้นในฤดูกาล 1995/96 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เคยนำโด่งถึง 12 แต้มในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่สุดท้ายรถแห่คว่ำเมื่อจิตหลุด โดน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ใช้เกมจิตวิทยาเล่นงาน ก่อนพาแมนฯ ยูไนเต็ด แซงคว้าแชมป์ได้อย่างเหลือเชื่อ

 

แต่เฟอร์กูสันก็เคยผิดหวังอีกครั้งเช่นกันในฤดูกาล 2011/12 เมื่อเคยนำห่างถึง 8 แต้ม แต่แล้วกลับปล่อยให้แมนฯ ซิตี้ ไล่ตามจนทำคะแนนได้ทัน และคว้าแชมป์ปาฏิหาริย์ด้วยประตูชัยของ เซร์คิโอ อเกวโร ในเวลา 94.32 ที่กลายเป็นโมเมนต์ระดับตำนานของพรีเมียร์ลีก

 

หมายความว่า ทั้งในทางทฤษฎี หลักคณิตศาสตร์ รวมถึงประวัติศาสตร์ อาร์เซนอลยังไม่ถือว่าหมดหวัง และความจริงแค่ชนะเกมในมือ ระยะห่างก็จะเหลือ 8 คะแนนแล้ว โดยที่ทั้งสองทีมก็มีโปรแกรมหนักพอๆ กันรออยู่ รวมถึงจะต้องเจอกันเองในต้นเดือนพฤษภาคมด้วย

 

แต่ปืนใหญ่ไม่มีกระสุน

 

สิ่งที่น่าหนักใจกว่าสำหรับอาร์เซนอลในตอนนี้คือ พวกเขากำลังหมดแรงและหมดหนทางเอง

 

ปัญหาใหญ่ที่สุดของอาร์เตตา คืออาการบาดเจ็บของผู้เล่นมากมายตลอดฤดูกาล โดยเฉพาะแนวรุกที่จู่ๆ ก็เหมือนเข้าปีชง ทยอยเจ็บหนักไปทีละราย

 

ตั้งแต่ บูกาโย ซากา ปีกเสาหลักที่กล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา​ (แฮมสตริง) ฉีกขาดรุนแรง ต้องพักการเล่นมาตั้งแต่เดือนธันวาคม โดยยังไม่มีแววว่าจะกลับมาได้เมื่อไร ก่อนที่ กาเบรียล เชซุส จะเอ็นไขว้เข่าฉีกขาด ต้องพักยาวอีกร่วมปี และมาเสีย กาเบรียล มาร์ติเนลลี กับ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ไปอีกในช่วงเก็บตัวกลางฤดูกาลที่ดูไบ โดยรายหลังปิดม่านฤดูกาลไปอีกราย

 

หรือเรียกได้ว่ากองหน้าตัวหลักทั้งหมดไม่เหลือเลย คนที่เหลือตอนนี้คือ เลอันโดร ทรอสซาร์ด กับ ราฮีม สเตอร์ลิง เท่านั้น ทำให้ต้องมีการขยับเอา อีธาน เอ็นวาเนรี กองกลางดาวรุ่งไปยืนเป็นปีกแทน (และก็บาดเจ็บไปอีกคน ต้องรอเช็กอาการ) รวมถึง มิเกล เมริโน กองกลางที่มีความสามารถในการสอดขึ้นมาลุ้นประตู ก็ต้องมารับบทศูนย์หน้าจำเป็นในนัดที่ผ่านมากับเวสต์แฮม

 

แต่มันเห็นแล้วว่าไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง เกมรุกของอาร์เซนอลไม่ต่างอะไรจากปืนใหญ่ที่ไม่มีกระสุน

 

สภาพการณ์นี้ของกันเนอร์ เมื่อคิดถึงการต้องเก็บชัยชนะทุกนัดที่เหลือของฤดูกาล และหวังว่าลิเวอร์พูลจะสะดุดพลาดแพ้ถึง 4 นัดในช่วง 11 นัดที่เหลือ

 

สำหรับทีมที่ตลอดฤดูกาลแพ้แค่นัดเดียว และแพ้แค่ 5 นัดในลีกนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว เป็นความหวังที่ริบหรี่เกินไป

 

คำถามที่ค้างคาใจสำหรับอาร์เซนอลคือ การที่ทีมปฏิเสธโอกาสในการจะเสริมผู้เล่นแนวรุกเข้ามา ไม่ใช่แค่ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา แต่รวมถึงในช่วงตลาดการซื้อขายรอบฤดูหนาวที่ผ่านมาด้วย ทั้งๆ ที่มองเห็นตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วว่าทีมขาดกองหน้าที่พึ่งพาได้ในเรื่องของการทำประตู

 

การไม่ยอมคว้าโอกาสซื้อ โอลลี วัตกินส์ หัวหอกทีมชาติอังกฤษของแอสตัน วิลลา ซึ่งเป็นสาวกกูนเนอร์สตัวยงมาตลอดชีวิตในช่วงตลาดที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่นักเตะพร้อมย้ายทีม และวิลลาก็พร้อมเจรจาด้วยในเงื่อนไข 60 ล้านปอนด์ จะเป็นเรื่องคาใจไปอีกนาน

 

โดยเฉพาะหากทีมพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกัน ทั้งๆ ที่ถือว่าฤดูกาลนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว

 

พรีเมียร์ลีกยังเหลืออะไรให้ลุ้นอีก?

 

สิ่งที่พอจะพูดได้ในตอนนี้คือ ลิเวอร์พูลมีโอกาสและความหวังสูงมากที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาลแรกของอาร์เน

 

ในวงเล็บ หากพวกเขาไม่ผิดพลาดระดับมหันตภัย ซึ่งดูแล้ว ซาลาห์ และ ฟาน ไดจ์ค – ที่ยังไม่รู้อนาคตของตัวเองว่าจะได้ต่อสัญญาฉบับใหม่หรือไม่ – จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่

 

เรื่องที่อาจจะสนุกกว่าสำหรับแฟนบอลทั่วไปคือการช่วงชิงทำอันดับไปรายการฟุตบอลสโมสรยุโรป โดยเฉพาะการช่วงชิงพื้นที่อันดับ 3-5 ที่จะได้สิทธิ์ไปร่วมแข่งในรายการใหญ่อย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เพราะในเวลานี้สโมสรจากอังกฤษมีค่าสัมประสิทธิ์ที่จะได้โควตาเพิ่มอีก 1 ทีม

 

ระยะห่างระหว่างทีมอันดับ 3 อย่างน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ไปจนถึงอันดับที่ 10 อย่างไบรท์ตัน แอนด์​ โฮฟอัลเบียน มีเพียงแค่ 7 คะแนนเท่านั้น น้อยยิ่งกว่าระยะห่างระหว่างลิเวอร์พูลกับอาร์เซนอลอีก

 

นั่นหมายถึงทีมเหล่านี้ (เรียงตามอันดับ) ฟอเรสต์, แมนฯ ซิตี้, นิวคาสเซิล, บอร์นมัธ, เชลซี, แอสตัน วิลลา และไบรท์ตัน ต่างมีโอกาสและความหวังจะไปแชมเปียนส์ลีก ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เรื่องของเกียรติยศ แบรนดิ้ง แรงดึงดูดทางเกมฟุตบอล แต่รวมถึงเงินรายได้มหาศาลในระดับร้อยล้านปอนด์ ที่จะมีความสำคัญอย่างมากต่อสโมสรเหล่านี้

 

การช่วงชิงพื้นที่ตรงนี้จะดุเดือดเร้าใจแน่นอน ซึ่งน่าสนใจว่าทีมที่เข้าป้ายอันดับ 3 และ 4 ซึ่งการันตีการไปแชมเปียนส์ลีกแน่นอนนั้น จะเป็นทีมหน้าเก่ายักษ์ใหญ่ Big Six อย่างแมนฯ ซิตี้และเชลซี หรือยักษ์ใหญ่ในอดีตที่ถูกปลุกมาอีกครั้งอย่างวิลลา

 

หรือจะเป็นทีมหน้าใหม่อย่างฟอเรสต์, นิวคาสเซิล, บอร์นมัธ หรือแม้แต่ไบรท์ตัน

 

ส่วนพื้นที่ลุ้นหนีการตกชั้นนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจนัก นอกเสียจากอิปสวิชหรือเลสเตอร์จะคืนชีพแบบปาฏิหาริย์ในช่วงที่เหลือของฤดูกาล ด้วยการชนะรวดติดต่อกัน 3-4 นัด แล้วหวังว่าแมนฯ ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม หรือวูล์ฟส์ จะสะดุดต่อเนื่องเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเมื่อประเมินจากสิ่งที่ผ่านมา

 

แต่ก็ไม่ใช่จะถึงกับลอยชายสบายใจได้ โดยเฉพาะแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ยังเหมือนผู้ป่วยอาการโคม่า เพราะวูล์ฟส์และเวสต์แฮมเองก็เริ่มมีสัญญาณชีพที่ดีขึ้นบ้างแล้ว

 

ถ้ายังเล่นไม่รู้เรื่องแบบนี้ ไม่แน่เดี๋ยวรู้เรื่อง

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising