×

เอินเอิน-แฟร์รี่ คุยเรื่อง ‘ด่านบอส’ ในเกมชีวิตจริง และการเติบโตที่เดินทางไปพร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างเรา

06.02.2025
  • LOADING...

เพราะบางที ‘ชีวิตจริงก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นเกม’ เพียงแต่มันเป็นเกมชีวิตที่เราต่างก็เป็นผู้เล่นเพื่อตามเก็บเลเวลและเอาชนะบอสแต่ละด่านของชีวิตในแบบของตัวเอง THE STANDARD POP เปิดประตูต้อนรับ เอินเอิน-ฟาติมา เดชะวลีกุล และ แฟร์รี่-กิรณา พิพิธยากร สองนักแสดงจากภาพยนตร์ แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า คู่พาร์ตเนอร์วัย 19 ปีที่เพิ่งจับมือกันเก็บเลเวลในภาพยนตร์ Drama Coming of Age ที่เรื่องราวระหว่างทางไม่ใช่แค่เพียงตัวละครในเรื่องเท่านั้นที่เติบโต แต่ทั้งสองคนเองต่างก็มีแง่มุมส่วนตัวไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่เติบโตขึ้นด้วยไม่แพ้กัน

 

 

การคุยกันวันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับเอินเอิน-แฟร์รี่ ผ่านคำถามในธีม ‘Game Girl’ ที่เปรียบเทียบชีวิตจริงเป็นเหมือนเกม เริ่มต้นจากปกติทั้งสองคนชอบเล่นเกมไหม 

 

เอินเอิน: ของเอินเล่นเกมที่เป็นพวก RoV (Arena of Valor) แบบนั้นไม่ได้เลยค่ะ 

 

แฟร์รี่: อ้าวเหรอ ส่วนหนูนี่ RoV, PUBG ทุกอย่างที่เป็นตี้ๆ จนถึงบอร์ดเกม ชอบหมดเลยค่ะ 

 

เอินเอิน: เกมที่ใช้นิ้วไม่ได้เลย แต่ถ้าเป็นเกมที่ใช้ร่างตัวเองเข้าไปเล่น เป็นตัวเราควบคุมตัวเองได้ แบบนี้หนูเล่นได้ อย่างพวก Monopoly (เกมเศรษฐี) ก็ได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าเป็นการเล่นเกมที่ต้องกด มีปล่อยพลัง มันยาก ต้องกดตรงไหน (หัวเราะ) 

 

เวลาเล่นเกมหรือต้องแข่งขันอะไร คิดว่าตัวเองเป็นผู้เล่นคาแรกเตอร์แบบไหน

 

แฟร์รี่: หนูคิดว่าหนูเป็นตัวแคร์รี่ค่ะ เป็นตัวที่ต้องมีทั้งแทงค์คุ้มกันเรา คือหนูก็ต้องไปเก็บฟาร์มก่อน เก็บเวล (เลเวล) เราถึงจะมีของ แล้วค่อยออกไปเล่น แต่หนูรู้สึกว่าหนูชอบที่เรามีการทำงานหลายๆ คน อย่างเช่น ถ้ามาทำงาน มากับเอินเอิน หนูจะไม่อยู่คนเดียว แล้วถ้าเอินเอินบอกให้บุก หนูก็จะบุกค่ะ (หัวเราะ) ถึงจะไม่มีของแต่เราอยู่ด้วยกัน เราช่วยกันได้ค่ะ 

 

เอินเอิน: หนูน่าจะเป็นคนที่ชอบบุกค่ะ เป็นตัวแทงค์ แต่อาจจะไม่ใช่ว่าบุกอย่างเดียว ต้องรอดูก่อน แล้วพอถึงจุดที่เราคิดว่าบุกแล้วเราจะได้ จังหวะนี้แหละถึงจะบุก

 

 

เวลาจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง เป็นคนวางแผนเยอะไหม 

 

เอินเอิน: วางแผนทุกงานเลย (หัวเราะ) ไม่มีงานไหนที่หนูปล่อยผ่านโดยที่ไม่คิดอะไร ไม่ชอบทำงานที่ง่ายๆ แต่ชอบงานที่ทำแล้วเราพัฒนาไปด้วย ต้องทำแล้วมันได้อะไรกับคนดูด้วย 

 

ถ้าอย่างนั้นตอนที่ได้รับการติดต่อให้เล่น แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า ตอนนั้นคิดอะไร วางแผนอะไรอยู่บ้าง 

 

เอินเอิน: ด้วยปกติเอินเป็นคนคิดเยอะและตั้งใจมาก แล้วเราเคยเล่นละคร Across The Sky ลัดฟ้าล่าฝัน ตอนนั้นเราเหมือนตั้งใจเกินไป พอตอนเล่น แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า หนูก็เลยไม่ตั้งใจเลยค่ะ (หัวเราะ) ตอนที่ไปแคสต์คิดว่า โอเค เราจะเล่นในแบบที่เราชอบ ในแบบที่เราอยากให้มีภาพเราในอนาคต แล้วก็ลองเล่นแบบนั้นดูค่ะ 

 

แล้วรู้ตอนไหนว่าพาร์ตเนอร์ที่จะเล่นคู่กับเราคือแฟร์รี่

 

เอินเอิน: จริงๆ เรื่องนี้แคสต์นักแสดงเยอะมากค่ะ อย่างหนูโดนเรียกแคสต์ไม่ต่ำกว่า 5 รอบ จน 2-3 วันสุดท้ายถึงมาแมตช์กับพาร์ตเนอร์ อย่างตอนแคสต์ช่วงแรกหนูได้แคสต์ทั้งสองตัวละครเลย เริ่มจากตอนแรกแคสต์เป็นพี่แอนก่อน แล้วก็สลับให้หนูเป็นเจน แต่ปรากฏว่าหนูไม่ได้ชอบ เรารู้สึกว่าอยากเป็นพี่แอน พี่ๆ ทีมแคสต์ก็เลยหาเจนมาแคสต์กับเราเยอะๆ เลยค่ะ เล่นอยู่อย่างนั้นทั้งวัน แล้วพอเป็นแฟร์รี่ คนนี้เขาดูเป็นธรรมชาติมาก 

 

แฟร์รี่: ของหนูไม่เหมือนเอินเอินเลย วันที่หนูเข้าไปแคสต์ พี่ๆ เขาก็ดูแหละว่าหนูควรจะแคสต์เป็นตัวละครไหน แต่พอพูดคุยกัน พี่เขาก็บอกว่าไม่ต้องแคสต์เป็นพี่แอนเลย เธอคือเจน ต้องแคสต์แค่บทเดียว (หัวเราะ) แล้วพอแคสต์เป็นเจนก็แคสต์แค่รอบเดียวแล้วแมตช์มาเจอกับเอินเอินเลยค่ะ จำได้ว่าวันที่มาเจอเอินเขาก็ไม่ได้บอกก่อนด้วยว่าเราจะมาเจอใคร พอมาเจอเอินที่หน้างาน เฮ้ย หนูได้แคสต์กับเอินเอิน 

 

เอินเอิน: ตอนนั้นรู้จักเอินเอินด้วยเหรอ

 

แฟร์นี่: รู้จัก เคยเห็นเอินเอินผ่านมาบ้างตอนประกวด THE STAR IDOL ยังบอกป๊าว่า นี่ไงพี่เอินเอิน ตอนนั้นยังคิดว่าเป็นพี่ค่ะ แต่จริงๆ เอินเอินเขาเด็กกว่าหนู 3 เดือนค่ะ ตอนนั้นคือสวยมาก (หัวเราะ)

 

 

อยากให้พาร์ตเนอร์ทั้งสองคนช่วยเล่าถึง ‘ตัวละคร’ ที่อยู่ข้างๆ กันให้ฟังหน่อย อย่างเอินเอินช่วยเล่าถึง ‘เจน’ และแฟร์รี่เล่าถึง ‘พี่แอน’ 

 

แฟร์รี่: สำหรับหนู หนูรู้สึกว่าพี่แอนโตมาก หนูอาจจะคิดคล้ายๆ น้องเจนว่าพี่แอนเก่ง เป็นคนที่ดูแลทุกอย่างรอบตัวได้ ดูแลน้องๆ ดูแลแม่ เวลาอยู่ที่บ้านเขาเหมือนเป็นผู้นำเลยจริงๆ

 

อีกอย่างคือหนูรู้สึกรีเลตกับพี่สาวหนูด้วย (มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร) ที่เขาจะคอยดูแลพวกหนูกับน้องๆ หนูรู้สึก Appreciate ที่เขาเป็นผู้หญิงที่เก่งขนาดนี้ ทำไมต้องมารับผิดชอบอะไรมากมายขนาดนี้ คือหนูก็ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะตัวเองเกิดมาเป็นน้อง แล้วเอินเอินก็เป็นพี่แอนได้อย่างสมบูรณ์มากๆ 

 

เอินเอิน: แฟร์รี่ Appreciate ในความที่แอนดูมีความรับผิดชอบใช่ไหม แต่เอิน Appreciate ในความเป็นคนไม่คิดอะไรมากของน้องเจน เป็นคนที่รู้สึกอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น เจนเขาไม่ได้มีอะไรมาตีกรอบ ไม่ต้องกดดันตัวเอง ไม่ต้องเครียด แล้วเขาทำอะไรก็ดูน่ารัก เป็นเด็กที่สดใส ขนาดกินมูมมามยังน่ารัก เป็นคนที่แค่มองก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว 

 

 

คนเล่นเกมจะคุ้นเคยกับการต้องไปตามเก็บเลเวลให้ตัวละคร แล้วในชีวิตจริงของเอินเอินกับแฟร์รี่ มีช่วงเวลาไหนบ้างที่เรียกว่าเป็นโมเมนต์ Power-up ให้ตัวเองเก่งขึ้น เติบโตขึ้น

 

เอินเอิน: สำหรับเอินน่าจะเป็นช่วงที่ได้เข้ามาในวงการและช่วงที่ไปเรียนที่อินเดียค่ะ ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะไปเรียนที่อินเดีย หนูก็อยู่กับเจ่เจ้ กับพี่ชาย กับพ่อแม่ หนูดูแลตัวเองไม่ได้เลย แต่พอไปอยู่อินเดีย เราก็ต้องอยู่ให้ได้ 

 

แล้วช่วงไปแรกๆ เราก็ไม่รู้ภาษาอังกฤษ เราสื่อสารกับใครไม่ได้เลย เราสื่อสารไม่รู้เรื่อง สอบได้ที่โหล่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดจากตอนที่อยู่เมืองไทย ตอนอยู่ที่ไทยเราเป็นเด็กกิจกรรม ครูจะชอบเรียกให้เราไปช่วย แต่อยู่ที่โน่นเรากลายเป็นภาระของเขาหมดเลย 

 

กลายเป็นว่าหนูต้องอัปเลเวลตัวเองขึ้นมา ต้องเรียนภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่เราจะได้ไม่เป็นภาระใคร แล้วเราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเราอยู่ตรงนี้ เรามีประโยชน์และสามารถช่วยคุณได้ เขาถึงจะยอมรับเราเข้ามาเป็นครอบครัวของเขา 

 

ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร กับการเรียนและใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นโดยที่ยังสื่อสารด้วยไม่ได้ 

 

เอินเอิน: ร้องไห้ทุกวันเลยค่ะ มันโหดมาก ยิ่งเป็นโรงเรียนของหนูที่แค่เราเจอพี่สาวแล้วอยากเดินไปคุยกับเขา ครูก็จะบอก No หรือถ้าเขาได้ยินเราคุยเป็นภาษาไทยคือต้องเข้าห้องปกครอง วันหนึ่งแม่โทรมา แม่ก็บอกว่ากลับไม่ได้ ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ แล้วด้วยความที่มันไม่มี Google Translate ให้ใช้ หนูก็จะมี Dictionary ของพี่สาว ที่ไม่ว่าจะเดินไปไหน เรียนอะไร พูดคุย หรือทำอะไร หนูจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่ง ที่พอไปคุยกับใคร หนูจะคอยถามว่าคำนี้แปลว่าอะไร ซึ่งบางคนเขาก็จะแกล้งเรา เหมือนสอนคำศัพท์ผิดๆ เรียกว่ามันเป็นด่านที่โหดมากสำหรับเราในตอนนั้นที่อายุแค่ 12 ปีที่ต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้รับการยอมรับ 

 

 

แฟร์รี่: โอ้โห อยากเก่งให้ได้เหมือนเอินเลย สำหรับหนูมันเป็นช่วงที่เรียนอยู่ ม.ปลาย ตอนนั้นเริ่มมีผลงานบ้างแล้วนิดหน่อย เช่น งานโฆษณา ทีนี้อาจารย์ก็เล็งว่าหนูอาจจะร้องเพลง อาจจะเต้นได้ เขาก็เลยส่งหนูไปประกวด TO BE NUMBER ONE IDOL รุ่นที่ 11 (ตัวแทนภาคกลางและภาคตะวันออก จากจังหวัดสมุทรปราการ) ทุกโรงเรียนจะต้องส่งตัวแทน ปรากฏว่าหนูได้เป็นตัวแทนจังหวัดเข้าไปแข่งรอบ 40 คนทั่วประเทศ หนูก็งงว่าผ่านเข้ามาได้ยังไง เพราะรู้สึกว่าเราไม่ได้เตรียมตัวมาขนาดนั้น แล้วพอได้เข้าไปอยู่รวมกับเพื่อนๆ จากโรงเรียนอื่นที่มาจากทั่วประเทศ เขาเก่งกันมากๆ แล้วทุกคนจริงใจต่อกันและพยายามกันมากๆ 

 

จากตอนแรกที่หนูเข้ามาคิดว่าชิลๆ กลายเป็นว่าเราจะมาชิลต่อไปไม่ได้ หนูเต้นไม่แข็ง หนูเครียด หนูร้องไห้เพราะยังเต้นไม่ได้ เพื่อนๆ เขาก็จะคอยบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวสอนให้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราต้องแข่งกัน หนู Appreciate มากที่เพื่อนทุกคนช่วยเหลือกันหมด 

 

จริงๆ หนูเป็นคนไม่ชอบการแข่งขันค่ะ แล้วยิ่งเป็นเพื่อนกัน ต้องมาแข่งขันอีก หนูรู้สึกว่าถ้าหนูเป็นฝ่ายยอมได้หนูก็จะยอม แต่พอเราได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มนั้น เราได้อีกมุมมองหนึ่งว่าจริงๆ แล้วเราไม่ต้องมาแข่งกันก็ได้ เราแค่ทำเต็มที่ในเวย์ของเรา หนูรู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรจากตรงนั้นเยอะ 

 

แล้ววันหนึ่งพอได้เข้ามาในวงการ จากเดิมที่เป็นน้องคนเล็กที่หวังแต่จะพึ่งคนอื่น มีพี่สาวช่วยดูเลตลอด หนูก็เริ่มโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น อาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ดูแลตัวเองได้มากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น จากเดิมที่หนูจะเป็นคนชิลๆ และไม่ค่อยชอบฝืนอะไร แต่ตอนนี้หนูรู้สึกว่าไม่ได้นะ ชีวิตเรามันจะง่ายๆ ขนาดนั้นไม่ได้

 

เอินเอิน: แฟร์รี่บอกว่าไม่ชอบการแข่งขันใช่ไหมคะ แต่ตัวหนูจะเป็นคนชอบหาทางลัดค่ะ อย่างตอน THE STAR IDOL ความคิดเอินคือไม่ได้อยากเป็นนักร้อง อยากเข้ามาแสดงค่ะ แต่ถ้าไปแคสต์งานคงไม่มีใครเรียกไปแคสต์แน่นอน เพราะเราเป็นใครก็ไม่รู้ มันยากมากที่เขาจะเลือกเด็กใหม่ๆ ทางลัดเดียวคือการที่เราต้องไปปรากฏตัวให้เขาเห็น หนูก็เลยใช้สิ่งที่เราทำเป็นในตอนนั้นคือเล่นกีตาร์ หนูดีดกีตาร์เป็นอย่างเดียว แต่ร้องเพลงไม่เป็น แต่โอเค เราไปลองฝึกในรายการแล้วกัน แต่ว่าบางทีการหาทางลัดมากเกินไปมันก็เป็นผลเสียเหมือนกัน เพราะเราจะเอาแต่หาทางลัดอย่างเดียวเลย ไม่มุ่งไปทางปกติบ้าง (หัวเราะ) 

 

 

ในคำถามเดียวกัน แต่สลับไปถามถึงตัวละครในเรื่อง แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า มีซีนไหนที่เป็นช่วงเวลา Power-up ของตัวละครอย่างพี่แอนและน้องเจน 

 

เอินเอิน: สำหรับตัวพี่แอนน่าจะเป็นตอนที่พ่อเสียค่ะ อย่างที่เราเห็นในตัวอย่างภาพยนตร์ไปว่าพ่อแอนเสียชีวิตในหน้าที่ ซึ่งจริงๆ แล้วแอนเขาไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่แย่มาตั้งแต่เด็ก แต่พอพ่อเสียแล้วทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป แม่ติดการพนัน และยังเหลือน้องอีก 3 คนที่ต้องดูแล เหมือนเขาต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่อายุแค่สิบกว่าปี แล้วก็เป็นมาตลอดจนถึงปัจจุบันที่เราได้เห็นกันในเรื่องคืออายุ 18 ปี

 

มันเป็นช่วงที่แอนรู้สึกว่าเขาเหมือนอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ควรจะไปทำความฝันของตัวได้แล้ว อย่างที่เราเห็นเครื่องบินในตัวทีเซอร์ นั่นคือสัญลักษณ์ที่หมายความว่าแอนเขาอยากจะโบยบินออกไปจากที่นี่ เพื่อจะได้ไปมีชีวิตในแบบที่เขาฝันคือแอร์โฮสเตส เพราะมันคืออาชีพที่ได้ไปในหลายๆ ที่ เพราะที่ผ่านมาเขาอยู่แค่ที่เดียววนไปวนมาคือที่แฟลตตำรวจ ตื่นเช้ามาดูแลน้อง ตกเย็นรีดผ้า ซักผ้า ส่งผ้า ชีวิตมีแค่นี้ แล้วเขาก็อยู่กับแม่ที่ติดการพนัน ชีวิตแบบนั้นมันก็เลยทำให้แอนโตขึ้นมาก แต่หนูเชื่อนะคะว่าคนอย่างพี่แอนจะต้องมีชีวิตที่ดีมากในสักวันแน่นอน 

 

แฟร์รี่: หนูรู้สึกว่าช่วงพาวเวอร์อัพของน้องเจนคือช่วงท้ายของเรื่องที่มันเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น น้องเจนก็เลยต้องโตขึ้นเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะพาวเวอร์อัพด้วยซ้ำ แต่ตรงนี้พูดไม่ได้ ต้องไปดูเองในโรงภาพยนตร์ค่ะว่าคือเหตุการณ์ไหน (หัวเราะ) 

 

 

ถ้าชีวิตจริงของทั้งสองคนเป็นเกม อะไรคือไอเท็ม 3 อย่างที่เอินเอินและแฟร์รี่จะต้องพกติดตัวไปด้วยในกระเป๋า

 

แฟร์รี่: สำหรับหนูคือน้ำเปล่าค่ะ มันอาจจะเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก แต่หนูเป็นคนที่ต้องมีน้ำเปล่าอยู่รอบๆ ตัวค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้กินก็ตาม แต่การมีน้ำมันทำให้เราอุ่นใจว่า เออ เราจะไม่เป็นอะไร (หัวเราะ) สองคือพาวเวอร์แบงก์ หนูเป็นคนที่พกพาวเวอร์แบงก์ไปทุกที่ ต้องเตรียมเผื่อเอาไว้ก่อน ถึงแม้หนูจะไม่ได้ใช้ แต่อาจมีคนอื่นที่ต้องการ 

 

ไอเท็มสุดท้าย หนูพกคนไปได้ไหม ขอพกเจ่เจ้ (พี่สาว: มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร) ยัดใส่กระเป๋าไปด้วยค่ะ (หัวเราะ) ถึงเวลาก็จะกางเจ่เจ้ออกมา เพราะเจ่เจ้คือทุกอย่าง ถ้าเกิดหนูต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะอะไร เจ่เจ้เหมือนโดราเอมอนที่จะคอยช่วยเหลือหนู 

 

เราสนิทกันมาก พี่สาวหนูเขารู้ทุกเรื่องของหนูเลยค่ะ ด้วยความที่ครอบครัวหนูหม่ามี้เสียตั้งแต่เด็กๆ หนูก็เลยจะมีเจ่เจ้เป็นทั้งแม่ ทั้งพี่สาว แล้วหนูก็นอนกับเจ่เจ้ โตมากับเจ่เจ้ ตั้งแต่เจ่เจ้ไปทำงาน หนูก็ไปกับเขา หนูรู้สึกโชคดีที่เกิดมามีพี่สาวและดีใจที่เป็นน้อง 

 

แล้วตอนที่พี่สาวไปเรียนเมืองนอก เวลาอยากไปไหน ไปทำอะไร เราไปคนเดียวได้ไหม 

 

แฟร์รี่: แต่หลังๆ พอโตขึ้นหนูก็จะเป็น Introvert มากขึ้น บางทีหนูก็อยากจะขับรถออกจากบ้านไปกินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ช่วงหลังๆ หนูอยู่กับตัวเองได้มากขึ้น หนูชอบอยู่กับตัวเองมากขึ้น เอ็นจอยกับการใช้ชีวิตคนเดียวได้มากขึ้นค่ะ 

 

แล้วเจ่เจ้เขาก็ต้องโต ต้องมีเพื่อน ต้องมีแฟนของเขาบ้าง แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งหนูแอบเฮิร์ตไปเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) เหมือนอกหัก ทำไมไม่รู้ แต่ตอนนี้หนูโอเคมากๆ แล้ว อาจจะเพราะว่าหนูชอบใช้ชีวิตตอนเดียวมากขึ้น 

 

 

ยังไม่ลืมไอเท็ม 3 อย่างของเอินเอินนะครับ

 

เอินเอิน: ลิปมันค่ะ ขาดไม่ได้เลย ถ้าปากหนูแห้ง หนูจะกระวนกระวาย หนูจะใช้ชีวิตไม่เป็นสุข หนูจะอยู่โดยที่ไม่สบายใจ (หัวเราะ) ไอเท็มที่สองคือสกินแคร์ค่ะ ตัวอะไรก็ได้ที่ทำให้หน้าหนูชุ่มชื้น ไม่อย่างนั้นหนูอยู่ไม่ได้ ไม่สบายใจค่ะ ทั้งหมดที่พูดมามันไม่ได้ทำให้หนูดูสวยขึ้นนะ แต่หนูรู้สึกว่าหนูขาดความชุ่มชื้นไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) 

 

สุดท้ายจะพูดว่าเจ่เจ้ก็ได้ เพราะว่าหนูก็สนิทกับเจ่เจ้เหมือนกัน เราคุยกันทุกเรื่อง แต่เอินจะต่างจากแฟร์รี่นิดหนึ่ง คือพอเราเรียนรู้ที่จะโตมาด้วยตัวเอง เราอยู่คนเดียวมาเยอะแล้ว บางครั้งเราก็จะชอบอยู่คนเดียว ทำในสิ่งที่ตัวเองคิด

 

หนูกับเจ่เจ้มีความต่างกัน หนูจะซ่ามาก ที่แม่บอกคือหนูเป็นพวกดื้อเงียบ แต่เจ้เขาจะเป็นเด็กดีมาก ตั้งแต่เด็กเขาเป็นเด็กเนิร์ดของห้อง สอบได้ที่หนึ่งตลอด ไม่มีคะแนนตก เต็มทุกวิชา ส่วนเราเอาแค่ผ่านพอแล้ว (หัวเราะ) ทีนี้พอเราอยากดื้อ แต่ถ้ามีเจ้อยู่ด้วยคือดื้อไม่ได้แน่เลย พูดง่ายๆ คืออยู่คนเดียวได้แหละ แต่ถ้ามีเจ่เจ้อยู่ด้วยได้ก็จะอุ่นใจมากขึ้น

 

 

แล้วตัวละครพี่แอนกับเจนในภาพยนตร์ คิดว่าทั้งสองคนควรจะพกไอเท็มอะไรติดตัวไว้ 

 

แฟร์รี่: หนูคิดว่าต้องมีพี่แอน อันนี้คือจริงๆ เพราะว่าน้องเจนในเรื่องจะแอบคล้ายหนูตรงนี้ คือเขามีพี่แอนมาตลอด ตั้งแต่เกิดมา โตที่แฟลต เขาก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องการความรัก แล้วพี่แอนก็คือคนนั้นของเขา ถ้าเปรียบเทียบกันก็เหมือนหนูเลยที่มีเจ่เจ้

 

เอินเอิน: แอนคงพกน้องเจนเหมือนกันค่ะ เพราะว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ พี่แอนเขาน่าจะมีความหมองหม่น ซึ่งเขาควรจะมีความสดใสบ้าง แล้วน้องเจนนี่แหละค่ะคือตัวละครที่ทำให้พี่แอนสดใส มีรอยยิ้มขึ้นมา น้องเจนก็คือความสุขของเขาจริงๆ แต่พี่ก็ขอโทษนะที่พี่อยากออกไปจากแฟลตตำรวจด้วยเหมือนกัน 

 

 

คำถามด่านต่อไป ในชีวิตจริงหรือในการแสดง มีซีนไหนหรือโมเมนต์ไหนที่เปรียบเหมือนเป็น ‘ด่านบอส’ (Boss Level) ที่คุณต้องเอาชนะหรือผ่านไปให้ได้บ้างไหม 

 

แฟร์รี่: เรื่อง แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า นี่แหละค่ะ (หัวเราะ) มันเป็นซีนที่เกี่ยวกับครอบครัว มันเป็นซีนอารมณ์ที่หนักมาก ซึ่งตอนนั้นเราก็ต้องมีสมาธิกับหลายๆ อย่าง ทั้งการแสดงและบล็อกกิ้ง หนูรู้สึกว่าวันนั้นเป็นวันที่ยากมาก คือพอมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น โฟกัสของเรามันหลุดไปเยอะเลย หลุดจนพี่แคลร์ (จิรัศยา วงษ์สุทิน ผู้กำกับภาพยนตร์) ต้องเข้ามาคุยมาเตือนสติว่าหนูต้องกลับมานะ ซีนนี้มันเป็นด่านบอสสำหรับหนูเลย

 

เอินเอิน: ด้านบอสเหรอคะ หนูรู้สึกว่ามันคือเป้าหมายที่หนูอยากทำได้เองมากกว่า คือการที่เราใช้ใจรู้สึกกับการแสดงจริงๆ หนูรู้สึกว่าการใช้ใจมันทำให้คนดูรู้สึก ถ้าเรารู้สึกมาก คนดูก็จะรู้สึกตาม สมมติว่าเป็นซีนร้องไห้ เราอาจจะทำทุกวิถีทางให้เราร้องไห้ออกมา แต่ถ้ามันไม่ใช่การร้องไห้อย่างที่ตัวละครเป็น หนูเชื่อว่ายังไงคนดูก็จะไม่รู้สึกตาม เช่นเดียวกัน แล้วถ้าหนูทำไม่ได้ในซีนนั้นๆ หนูก็จะรู้สึกนอยด์ มันไม่ฟินเลยที่เราเป็นตัวละครได้ไม่เต็มที่ อันนี้ก็คือสิ่งที่หนูโฟกัสเป็นพิเศษ

 

 

ถ้าเราต้องเลือกใครสักคนในชีวิตจริงมาเป็นผู้ช่วยต่อสู้กับ ‘ด่านบอส’ ทั้งสองคนจะเลือกใคร

 

เอินเอิน: คงจะเป็นพาร์ตเนอร์ที่เราเล่นด้วย สำคัญมากเลยนะคะสำหรับนักแสดง

 

ถ้าอย่างนั้นพาร์ตเนอร์ของเราในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง

 

เอินเอิน: หนูดีใจนะคะที่เป็นแฟร์รี่ในเรื่องนี้ เพราะว่าตัวละครในเรื่องต้องมีความสัมพันธ์ มีความผูกพันกันมานานมาก ตั้งแต่เกิดเลย แล้วแฟร์รี่ก็เป็นคนที่ตั้งแต่เจอกัน เขาเป็นคนใสมาก ไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย ดูเป็นคนน่ารัก น่าเข้าหา มันก็เลยทำให้เราจูนกันง่ายขึ้น 

 

แล้วเอเนอร์จี้เขาก็เป็นคน Positive คือหนูชื่นชมแฟร์รี่ตลอดเลยว่าเขาเป็นคนไม่คิดลบเลยเนอะ คือพอเราโตมาโดยผ่านการใช้ชีวิตคนเดียวที่เมืองนอกมาบ้าง เราก็เลยต้องคิดเผื่อ ซึ่งบางทีการคิดเผื่อมันทำให้เรากลัวทุกอย่างไปหมด แต่กับแฟร์รี่เขารู้สึกแบบไหนก็ทำแบบนั้น ซึ่งมันช่วยหนูได้มากเลยกับการแสดงเรื่องนี้ มันทำให้มี Magic Moment เกิดขึ้นเยอะมากๆ ในแบบที่เราไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเล่นมาในเวย์นี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่กับเขาแล้วไปต่อได้ 

 

แฟร์รี่: หนูดีใจเหมือนกันที่ได้มาเล่นกับเอินเอิน แล้วเอินเอินเล่นเป็นพี่แอน ตั้งแต่เราเริ่มเจอกันครั้งแรก มันเป็นการเริ่มต้นในแบบที่โตมาด้วยกัน เราเวิร์กช็อปกันมาแบบนั้น มีอะไรเราก็คุยกันเลยจริงๆ เราช่วยเหลือกันจริง แล้วแต่ละซีนถ้าไม่มีเอินก็คือหนูก็คงจะผ่านไปไม่ได้เหมือนกัน ตอนอยู่ในกองแค่มองหน้าเอินหนูก็รู้สึกว่าตัวเอง Emotional ง่ายมาก แค่ไปโดนตัวเขา เออ พี่แอนไฟฟ้าสถิต (หัวเราะ) พี่แคลร์จะบอกว่าให้เราไปอยู่ด้วยกัน พอเล่นไม่ได้ปุ๊บ แค่หันไปหาเอิน มองเขาแค่นี้อารมณ์ก็มาแล้วค่ะ 

 

เอินเอิน: เอินรู้สึกว่าอยู่กับแฟร์รี่จะไม่เหมือนการเจอกับนักแสดงคนอื่น กับนักแสดงคนอื่นเราจะมีความเกรงใจ แต่กับแฟร์รี่เราสนิทมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยสนิทกันมาก่อน 

 

แฟร์รี่: ใช่ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนเราเริ่มกันมาด้วยดีด้วย โชคดีที่เป็นเขา 

 

คำถามสุดท้าย ถ้าต้องตั้งชื่อเกมที่เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง ทั้งสองคนจะตั้งชื่อเกมชีวิตของตัวเองว่าอะไร

 

แฟร์รี่: หนูคิดว่าน่าจะเป็นเกมที่เหมือนเลี้ยงอะไรสักอย่างแล้วให้มันเติบโต เช่น ถ้าเป็นต้นไม้ก็คือเกมปลูกต้นไม้ที่ทำให้มันค่อยๆ โตขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนปลูกผักแล้วก็โตขึ้นๆๆๆ จริงๆ แล้วชีวิตหนูมันก็เป็นแบบนั้น ตั้งชื่อว่า ‘แฟร์รี่ฟาร์ม’ แล้วกันค่ะ เพราะอย่างในฟาร์มมันก็จะมีอุปสรรค มีหนอนมากิน แต่เราก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลงฉีด ขุด ปลูกใหม่ มันก็คือชีวิตจริงค่ะที่ก็ต้องมีอะไรแบบนั้น 

 

เอินเอิน: ถ้าเกมของเอินในชีวิตที่ผ่านมาน่าจะเป็นเกมต่อสู้ค่ะ สู้กับทุกอย่าง เป็นเกมชื่อ ‘Goal Fighters’ ค่ะ ฉันผ่านด่านนี้แล้ว ฉันต้องไปด่านหน้า ผ่านไปให้ได้ตลอด ทุกวันคือการเรียนรู้

 

ภาพยนตร์ แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ชมตัวอย่างภาพยนตร์ แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=Af8clp_t2D0

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising