วันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ที่อาคารรัฐสภา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย สส. และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าวกรณีปัญหาฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลและกรุงเทพมหานครในการแก้ปัญหา
ณัฐพงษ์กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีคือ 1 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นช่วงเวลาที่ชาวกรุงเทพมหานครต้องอยู่กับค่า PM2.5 ที่เกินมาตรฐานถึง 31 จาก 36 วัน ซึ่งหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับ 36 วันที่ผ่านมาของปี 2567 ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในปีนี้มีความหนักเพิ่มขึ้นถึง 20%
ที่ผ่านมาพรรคประชาชนได้ผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่กำลังมีการพิจารณาอยู่ในเวลานี้ และการใช้มาตรการต่างๆ ผ่านกระทู้และเวทีกรรมาธิการ ส่วนในระดับท้องถิ่น สก. พรรคประชาชน เคยผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์อนาคตและข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มปอดให้ชาวกรุงเทพมหานคร
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า อุปสรรคในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 นั้นเกิดขึ้นจากช่องว่างในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ปัญหาฝุ่นนอกจากทำร้ายสุขภาพแล้วยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี จึงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลกับกรุงเทพมหานครจะต้องดำเนินมาตรการร่วมกันอย่างจริงจัง อุดช่องว่างของการบริหารงานท้องถิ่น
จากนั้นณัฐพงษ์เชิญชวนผู้แทนกรุงเทพมหานครจากพรรคประชาชนให้ร่วมบอกเล่าปัญหาจริงจากหน้างาน ไม่ว่าจะเป็น ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส. กรุงเทพฯ ที่สะท้อนปัญหาของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้เปราะบาง โดยระบุว่าผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครที่มีอยู่ราว 1.2 ล้านราย ที่เปราะบางอยู่แล้ว วันนี้ยังต้องมาเผชิญฝุ่นพิษเพิ่มอีก โดยเฉพาะในเขตบางแคมีผู้สูงอายุสูงถึง 40,000 คน และมีสถานที่ดูแลผู้สูงอายุทั้งบ้านบางแค 1 ที่อยู่ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และบ้านบางแค 2 ที่ดูแลโดยกรุงเทพมหานคร แต่มาตรการป้องกันและช่วยเหลือของทั้งสองแห่งก็ไม่เพียงพอกับสภาพปัญหา ไม่ต้องพูดถึงแผนกอายุรกรรมที่เป็นห้องเปิด ยังหาทางออกหรือมาตรการเยียวยาช่วยเหลือไม่ได้
ภัสริน รามวงศ์ สส. กรุงเทพฯ เขต 7 สะท้อนปัญหาฝุ่น PM2.5 ในเด็ก โดยระบุว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีรถยนต์ ห้องแอร์ หรือเข้าถึงเครื่องฟอกอากาศได้ ฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่ภัยเงียบ แต่เป็นหายนะที่กำลังจะพาทุกคนย่ำแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะแม่ที่กำลังอุ้มท้องอนาคตของประเทศนี้ เพราะฝุ่นสามารถซึมสู่สายทารก เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดหรือกระทั่งยุติการตั้งครรภ์ ฝุ่น PM2.5 ยังทำร้ายการพัฒนาสมองของเด็กวัย 0-5 ขวบ และเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคปอดอักเสบที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าภายใน 1 ปี แต่ทั้งเด็กและแม่ทำได้เพียงใช้ต้นทุนของตัวเองรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมจากผู้นำท้องถิ่นและผู้นำประเทศ
หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวสรุปว่า ข้อเสนอของพรรคประชาชนที่ว่ามาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- สิ่งที่ทำแล้วแต่ยังไม่พอ คือมาตรการเขตลดฝุ่นที่กรุงเทพมหานครยังดำเนินการไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีปัญหา จำนวนวันบังคับใช้น้อยเกินไป จำนวนรถที่เข้าร่วมไม่มากพอ รวมถึงการตรวจโรงงานอุตสาหกรรมและการเพิ่มพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น ห้องปลอดฝุ่นในสถานศึกษาและสถานพยาบาลต่างๆ
- สิ่งที่ควรทำแต่ยังไม่ทำ ได้แก่ ข้อบัญญัติรถเมล์อนาคตที่พรรคประชาชนได้ผลักดัน รวมทั้งมาตรการปรับมาตรฐานและโครงสร้างภาษีรถยนต์ให้สอดคล้องกับอายุของรถ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น รวมถึงมาตรการสำหรับเรือโดยสาร มาตรการควบคุมมลพิษ ซึ่งหลายเรื่องเป็นสิ่งที่กรุงเทพมหานครจำเป็นต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล
- สิ่งที่ควรเตรียมเพื่ออนาคตแต่ยังไม่ได้เริ่ม เช่น การประกาศเขตควบคุมมลพิษ ที่จะช่วยให้กรุงเทพมหานครสามารถควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาในพื้นที่เกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า มาตรการสำคัญๆ จำนวนมากไม่เกิดขึ้นเพราะผู้บริหารระดับประเทศคือนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ไม่ร่วมมือกับผู้บริหารระดับท้องถิ่น พรรคประชาชนจึงขอทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชิญชวนนายกฯ และผู้ว่าฯ กทม. รวมถึงหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาฝุ่น มาถกปัญหาและกำหนดมาตรการร่วมกัน ผ่านเวทีของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เพราะการประสานงานระหว่างหน่วยงานส่วนกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการปัญหา PM2.5 ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทย