วลีติดปากวัยรุ่น ‘ของมันต้องมี’ ไม่จำเป็นสำหรับชาวอเมริกันอีกต่อไป ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นแม้ทรัมป์รับปากว่าจะลดค่าครองชีพ พร้อมเดินหน้าประหยัดเงินในกระเป๋าผ่านแนวคิด ‘No Buy 2025’ ตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก
สำหรับแคมเปญ ‘No Buy 2025’ เป็นแนวคิดที่เหล่า Content Creator ชาวอเมริกันเผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้หลายคนลุกขึ้นมาต่อต้านการบริโภคหรือการซื้อสินค้าที่เกินความจำเป็นหรือสินค้าฟุ่มเฟือย ในช่วงเวลาเดียวกัน เทรนด์ Project Pan หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามให้หมดจนถึงก้นกระปุกก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลายคนจะทำได้ เพราะสินค้าหลายๆ แบรนด์พยายามโปรโมตสินค้าคอลเล็กชันใหม่ๆ ด้วยการให้คลิกลิงก์ใน Amazon ดูรีวิวแนะนำต่างๆ แน่นอนว่าหากเราไม่มีการยับยั้งชั่งใจก็จะทำให้คล้อยตามและกดสั่งซื้อสินค้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ขณะเดียวกันชาวอเมริกันต่างจับตาดูนโยบายเศรษฐกิจใหม่ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยให้คำมั่นสัญญาว่าเมื่อชนะการเลือกตั้งจะลดราคาสินค้าเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนทันที
ไรลีย์ มาร์คัม แม่บ้านที่อาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา กล่าวว่า ครอบครัวของเรามีส่วนสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของทรัมป์ ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและค่อนข้างกังวลกับอนาคตมาก เพราะครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน ต้องบริหารค่าใช้จ่ายให้พอที่จะจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ และของใช้ในบ้าน
“ทั้งหมดยึดตามแนวคิด ‘No Buy 2025’ ไม่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ตัดค่าใช้จ่ายด้านการทำเล็บและเข้าร้านเสริมสวย และออกไปกินอาหารนอกบ้านน้อยลง ทำให้ประหยัดเงินได้ราว 100 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์” ไรลีย์ย้ำ
รีเบคก้า โซว์เดน ที่อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ชีวิตต้องเข้มงวดกับการใช้จ่ายมากขึ้น โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เข้าร่วมแคมเปญ No Buy 2025ไม่ซื้อสินค้าเกินความจำเป็นในชีวิตประจำวันเลย ทำให้ประหยัดเงินได้ถึง 4,272 ดอลลาร์
รวมถึง เฟเชียน คีล ที่อาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา กล่าวว่า ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา สามารถประหยัดเงินได้ 300 ดอลลาร์ ซึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนนิสัยการใช้จ่ายของตัวเอง เริ่มตั้งแต่เลิกซื้อของตามอารมณ์ ซื้อเฉพาะของใช้จำเป็นที่ใช้หมดแล้วเท่านั้น และที่สำคัญคือการเลิกใช้บัตรเครดิต ช่วยสร้างวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้น
สอดรับกับข้อมูลจาก The Conference Board ที่ระบุว่า ภาพรวมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากทำเนียบขาวเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และจากจีนอีก 10%
นอกจากนี้ไข่ไก่ที่กำลังได้รับผลกระทบจากไข้หวัดนกระบาดก็มีราคาแพงขึ้น จนใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามด้วยกลุ่มกาแฟ แม้ทรัมป์จะยกเลิกแผนเก็บภาษีนำเข้ากาแฟจากโคลอมเบียแต่ราคาก็ไม่ได้ถูกลง รวมไปถึงเนื้อวัวและน้ำส้มก็มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง: