×

UOB-EEC หนุนเม็ดเงิน FDI เผยอาเซียนและไทยเนื้อหอม ทรัมป์ 2.0 ไม่กระทบ Wellness Data Center และชิป มาแรง

04.02.2025
  • LOADING...

UOB จับมือ สกพอ. หนุนลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายพื้นที่ EEC ชี้ไทยและเพื่อนบ้านอาเซียนเนื้อหอม ทรัมป์ 2.0 ไม่กระทบ FDI ด้านเลขา EEC ลุยกระตุ้นลงทุนต่อเนื่อง ชี้เป้าเทรนด์ Health and Wellness, Data Center, PCB และเซมิคอนดักเตอร์ มาแรง พร้อมเผยเตรียมแผนสำรองโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หากล่าช้าและจำเป็นต้องเลื่อนแผนก่อสร้างเดือนเมษายน

 

ริชาร์ด มาโลนีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี (UOB) กล่าวว่า ยูโอบีร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ผ่านเครือข่ายธนาคารยูโอบีที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

โดยนับตั้งแต่ปี 2563 ธนาคารให้คำปรึกษาและสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยไปแล้ว 450 บริษัท มูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท สร้างการจ้างงานกว่า 31,000 ตำแหน่ง และหากคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอยู่ที่ 5 หมื่นล้านสิงคโปร์ หรือจำนวน 5,000 บริษัท

 

แซม ชอง กรรมการผู้จัดการ Head of Foreign Direct Investment Advisory Unit ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่า ยูโอบีพร้อมเจาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งอุตสาหกรรมที่เห็นการลงทุนไทยเวลานี้ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงจะโฟกัสกลุ่มนี้มากขึ้น เนื่องจากไทยเองก็อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปสู่ EV ถือเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงอุตสาหกรรมชีวภาพและดิจิทัล

 

แซม ชอง กรรมการผู้จัดการ Head of Foreign Direct Investment Advisory Unit ธนาคารยูโอบี

แซม ชอง กรรมการผู้จัดการ Head of Foreign Direct Investment Advisory Unit ธนาคารยูโอบี

 

ทั้งนี้ ในปี 2570 ยูโอบีคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ลงทุนในภูมิภาคอาเซียนราว 3.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

เมื่อถามว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีนโยบายขึ้นภาษี จะมีผลต่อการลงทุนแค่ไหน แซมระบุว่า มีผลกระทบบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะแค่ไหน ซึ่งต้องบอกว่าเราประสานกับลูกค้า ซัพพลายเชน และพันธมิตร อยู่แล้ว เชื่อว่าจะสามารถรับมือและเตรียมแผนที่ดี ในขณะเดียวกันความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินลงทุน FDI ในไทยและภูมิภาคมากขึ้น 

 

ส่วนขณะนี้เห็นโมเมนตัมกลุ่มลูกค้าสนใจลงทุนประเทศไหนในอาเซียนมากที่สุดนั้น มองว่าสิงคโปร์ โดยสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเงิน และเป็นประเทศที่มักจะเห็นการเข้าไปตั้งบริษัทและมาลงทุนในประเทศที่สามนั่นคือไทยและเพื่อนบ้านอาเซียน

 

“ยูโอบีจะเป็นมากกว่าธนาคาร หรือ Beyond Banking จะให้การสนับสนุนแบบครบวงจรแก่นักลงทุนทั้งในประเทศ ภูมิภาค และระดับนานาชาติ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและผู้นำภูมิภาค” แซมย้ำ

 

ด้าน จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC กล่าวว่า “การร่วมมือกับธนาคารยูโอบีสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน สามารถสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ 

 

โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา วันนี้มีการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคในหลายๆ ด้าน ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์และโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก 

 

“ผมมองว่าตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่น้ำขึ้นให้รีบสูบ ไม่ใช่แค่รีบตักแล้ว”

 

เนื่องจากปีที่ผ่านมาจะเห็นการลงทุนที่มาแรง อย่างเช่น การแพทย์และสุขภาพ (Health and Wellness) ภาคบริการ BCG, เทคโนโลยีและดิจิทัล ปีนี้จนถึงปีหน้าจะยิ่งเห็นการลงทุนดิจิทัล, Data Center, PCB และเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงมาลงทุนไทยมากขึ้น และเราจะเน้นเจาะไปที่อุตสาหกรรมเป้าหมายเหล่านี้ พร้อมส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง 

 

เมื่อถามถึงความคืบหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ยอมรับว่าล่าช้ามาหลายปี และล่าสุดตั้งเป้าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนเมษายน 2568 นั้น 

 

“หากไม่สามารถก่อสร้างได้ จำเป็นต้องพิจารณาสัญญาการร่วมทุนว่ายังสามารถดำเนินการต่อได้หรือไม่ อย่างไร หากไม่ได้จะต้องเตรียมแผนรองรับอย่างไรต่อไป”

 

ส่วนนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน มองว่าเวลานี้ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนพื้นที่ EEC แต่อาจส่งผลบ้างในกลุ่มธุรกิจส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามและศึกษาแนวทางที่สหรัฐฯ จะดำเนินการกับประเทศที่ได้ดุลการค้า เพื่อเตรียมการตั้งรับให้ดี

 

THE STANDARD WEALTH สำรวจข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สรุปตัวเลขการลงทุนในพื้นที่ EEC ปี 2567 มีทั้งสิ้นจำนวน 301 ราย คิดเป็น 32% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 167 ราย (124%) มูลค่า 56,490 ล้านบาท โดยเป็นนักลงทุนจาก 

 

  • ญี่ปุ่น ลงทุน 20,593 ล้านบาท
  • จีน 72 ราย ลงทุน 12,107 ล้านบาท
  • ฮ่องกง ลงทุน 5,698 ล้านบาท
  • ประเทศอื่นๆ 106 ราย ลงทุน 18,092 ล้านบาท 

 

ธุรกิจที่ลงทุนในพื้นที่ EEC ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริการทางวิศวกรรม, อุตสาหกรรมยานยนต์, ธุรกิจจัดหาและจัดซื้อวัตถุดิบส่วนประกอบและชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อค้าส่งในประเทศ, ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน (Software Platform), ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ ชิ้นส่วนโลหะ และชิ้นส่วนพลาสติก

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising