×

ถอดรหัสเบื้องหลังความหรูหราราคาแพงระยับของน้ำหอมชื่อดัง

25.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ไขข้อข้องใจเรื่องราคาน้ำหอมที่อาจแพงจนน่าประหลาดใจ แต่แท้จริงแล้วกลิ่นสุคนธ์เหล่านี้อาจเป็นอะไรมากกว่าแค่ ‘น้ำหอม’
  • น้ำหอมกลิ่น Gabrielle Chanel ของ Chanel นั้นมีส่วนผสมหายากคือ Tuberose Absolute เพื่อจะสกัดหัวน้ำหอมให้ได้สัก 1 กิโลกรัมนั้นจะต้องใช้ดอกทิวบ์โรสธรรมชาติแท้กว่า 6,000 กิโลกรัม โดยกว่าจะมาเป็นน้ำหอมพร้อมจำหน่ายสักขวดนั้นต้องลงทุนลงแรงเตรียมการผลิตล่วงหน้าอยู่นาน 5-6 ปี

เคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมน้ำหอมจึงเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ความงามที่มีราคาสูงเหลือเกิน และยังมีแนวโน้มที่ตัวเลขดังกล่าวจะขยับขึ้นเรื่อยๆ หนำซ้ำปีนี้หลายแบรนด์ยังแข่งขันกันปล่อยไลน์น้ำหอมใหม่ที่หรูหรายิ่งขึ้นออกมาอีก เราชวนสาวกความงามและความหอมฟุ้งมาเจาะลึกเบื้องหลังวงการน้ำหอม

 

สำหรับสาวกน้ำหอม น่าจะพอคุ้นเคยกับชื่อของ Le Labo แบรนด์น้ำหอมสุดฮิปเชื้อสายเมืองกราสส์ผสมนิวยอร์ก และบางคนอาจจะกดไลก์เมื่อเห็นภาพขวดแก้วใสเก๋ๆ คูลๆ ตามหน้าฟีดเป็นประจำ บ้างก็เป็นเจ้าของ Santal 33 อยู่แล้ว ในขณะที่หลายคนก็รู้สึกอยากได้เหลือเกิน แต่ยังครุ่นคิด จ่ายไม่ลง เพราะราคาน้ำหอมของ Le Labo นั้นพุ่งไปที่ราว 5,700-8,700 บาท สำหรับน้ำหอมขนาด 50-100 มล.

 

จากกุหลาบสู่น้ำหอม Le Labo ราคาระยับ

 

ทว่าคุณรู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังราคาที่ถูกวางไว้สูงนั้นมาจากองค์ประกอบหลายอย่าง โดยเฉพาะแนวกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และคุณภาพของส่วนผสมเป็นสำคัญ เป็นต้นว่ากลีบกุหลาบที่ใช้สกัดน้ำหอมกลิ่น Rose 31 นั้นต้องเป็นกุหลาบจากเมืองกราสส์เท่านั้น และมีค่ายิ่งกว่าทอง เพราะตกกิโลกรัมละหลายแสนเหรียญสหรัฐ! ซึ่งอันที่จริงจะเลือกกุหลาบแบบอื่นหรือไปใช้กลิ่นสังเคราะห์ก็ได้ แต่เมื่อเจ้าของแบรนด์ยึดมั่นที่จะสร้างสรรค์น้ำหอมอันเปี่ยมด้วยคุณภาพและติดทนนาน เอสเซนเชียลออยล์บริสุทธิ์จากกุหลาบคุณภาพระดับเกรดเอจึงเป็นคำตอบและส่งผลให้ต้นทุนสูงตามไปด้วย “เราต้องการทำน้ำหอมที่เข้มข้น ติดทนนานต่างจากน้ำหอมทั่วไป ซึ่งคุณลองแล้วจะได้กลิ่น Top Note ที่บางเบาที่สุดก่อน” ฟาบริส เปโนต์ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์กล่าว

 

ยิ่งประกอบกับการปรุงสดแต่ละขวดให้ลูกค้าเมื่อมาซื้อแต่ละครั้ง แถมด้วยการติดฉลากระบุชื่อ วันเดือนปีที่ผลิต และข้อความส่วนตัวแล้ว ราคาที่วางไว้ก็อาจเทียบไม่ได้กับมูลค่าที่เจ้าของน้ำหอมจะได้รับกลับมาสำหรับน้ำหอมขวดพิเศษเฉพาะบุคคล

 

“เราอยากสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่เข้ามาและช่วยเติมเต็มให้ชีวิตพวกคุณสวยงามขึ้น” นี่คือความในใจจากแบรนด์ที่มั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริการ และไม่ได้ลงเม็ดเงินกับโฆษณาเลย ต้นทุนการผลิตจึงไปอยู่ที่วัตถุดิบ การตกแต่งร้าน และการเทรนพนักงานประจำสาขาเป็นหลัก

 

กุหลาบจากเมืองกราสส์สู่น้ำหอม Chanel

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันส่วนผสมธรรมชาติคุณภาพดีสำหรับทำน้ำหอมก็นับว่าหายาก ขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ และมีส่วนผสมอีกหลายชนิดที่ไม่สามารถสังเคราะห์เลียนแบบให้คุณภาพเทียบเท่าของธรรมชาติแท้ได้อย่างกุหลาบ มะลิ ไอริส แซนเดิลวูด เวทิเวอร์ ไปจนถึงวานิลลา แต่ส่วนใหญ่กำลังการผลิตกลับลดลง ส่งผลให้ราคาสูงขึ้น ไม่นับปัญหาด้านการสืบต่องานเพาะปลูกดอกไม้ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น กราสส์ เมืองเพาะปลูกน้ำหอมทางใต้ของฝรั่งเศสที่เป็นแหล่งปลูกดอกไม้สำคัญสำหรับทำน้ำหอมเมื่อหลายสิบปีก่อนก็ประสบปัญหาด้านการควบคุมคุณภาพและกำลังคนจนบางแบรนด์บิวตี้ต้องเข้าไปเป็นพันธมิตรช่วยอุปถัมภ์

 

หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ดังยักษ์ใหญ่อย่าง Chanel ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำการรังสรรค์น้ำหอมระดับมาสเตอร์พีซมาเกือบร้อยปี ทางแบรนด์ได้เข้าไปสร้างสัมพันธภาพกับครอบครัวมุลมาตั้งแต่ปี 1987 ภายใต้พื้นที่ใหญ่กว่า 50 เอเคอร์ที่เมืองเปโกมาสใกล้ๆ กราสส์ เพราะต้องการวัตถุดิบตั้งต้นคุณภาพดีเพื่อที่จะผลิตน้ำหอมที่ดีที่สุด โดยเริ่มจากผูกขาดการซื้อดอกมะลิสำหรับผลิตน้ำหอม Chanel No.5 ที่แต่ละขวดใช้เอสเซนเชียลออยล์ที่สกัดจากดอกมะลิกว่าพันดอก

 

จากนั้นขยายไปถึงดอกไม้อื่นๆ อย่างกุหลาบ ไอริส ทิวบ์โรส สำหรับทำน้ำหอม อย่างในเคสของน้ำหอมสำคัญกลิ่น Gabrielle Chanel ที่เปิดตัวไปปีก่อนนั้นมีส่วนผสมหายากคือ Tuberose Absolute เพื่อจะสกัดหัวน้ำหอมให้ได้สัก 1 กิโลกรัมนั้นจะต้องใช้ดอกทิวบ์โรสธรรมชาติแท้กว่า 6,000 กิโลกรัม ซึ่งทางแบรนด์ก็ได้เตรียมปลูกไว้ตั้งแต่ปี 2011 แล้ว จึงเรียกได้ว่ากว่าจะมาเป็นน้ำหอม Gabrielle พร้อมจำหน่ายสักขวดนั้นต้องลงทุนลงแรงเตรียมการผลิตล่วงหน้าอยู่นาน 5-6 ปีทีเดียว

 

กุหลาบเมย์โรสจากโดเมน เดอ มานง สู่การทำน้ำหอม J’Adore L’Or

 

เช่นเดียวกันกับ Dior ที่ได้ไปครอบครองสัมปทานพื้นที่นามว่า โดเมน เดอ มานง (Domaine de Manon) ในเมืองกราสส์ตั้งแต่ปี 2009 เพื่อไว้เป็นสวนดอกไม้เฉพาะของ Dior สำหรับเตรียมเพาะปลูกส่วนผสมที่จะนำมารังสรรค์เป็นน้ำหอมใหม่ๆ

 

“กุหลาบเมย์โรสเป็นกุหลาบที่คุณภาพดี หอมที่สุด โดยเฉพาะที่ปลูกที่กราสส์ ซึ่งองค์ประกอบของดิน แสงแดด น้ำ ลม และสภาพของหุบเขาเอื้อให้ได้ผลผลิตที่ดี และสำหรับการทำน้ำหอม J’Adore L’Or ที่มีกุหลาบเมย์โรสเป็นส่วนผสมสำคัญนั้น เราต้องเตรียมปลูกดอกไม้ล่วงหน้า 3 ปี โดยต้องใช้ดอกกุหลาบเก็บด้วยมือทีละดอกในตอนรุ่งเช้ากว่า 900 กิโลกรัมจึงจะได้ Rose Absolute 1 กิโลกรัม และมีช่วงเก็บเกี่ยวได้แค่ต้นเดือนพฤษภาคมเท่านั้น” ฟรองซัวส์ เดอมาชี นักปรุงน้ำหอมคนสำคัญคู่บุญ Dior มายาวนานอธิบายถึงการเตรียมการและระยะเวลาที่ทุ่มเทไปเพื่อน้ำหอมสักกลิ่นที่จะสร้างรอยยิ้มและความสุขต่อแก่ผู้ใช้

 

เท่านั้นไม่พอ เขายังเสริมอีกว่า “หลังจากนั้นใช้เวลาผลิตน้ำหอมอีก 2 ปี เบ็ดเสร็จเท่ากับ 5 ปีกว่าจะได้น้ำหอมออกมาให้เชยชม และสำหรับดอกมะลิ อีกส่วนผสมที่ใช้มากในน้ำหอมของ Dior ก็ต้องใช้มะลิถึง 700 กิโลกรัมจึงนำไปสกัดได้ Jasmine Absolute 1 กิโลกรัม”

 

และนี่เป็นเพียงเบื้องหลังบางแง่มุมของการผลิตน้ำหอมชั้นสูง ซึ่งน่าจะพอทำให้เข้าใจว่าราคาสูงลิบลิ่วนั้นย่อมมาพร้อมกับคุณภาพ อีกทั้งคุณค่าทางใจที่ได้จากแต่ละหยาดหยดที่ประพรมไปนั้นคุ้มค่าไม่น้อย

 

 

น้ำหอมชั้นสูงควรค่าแก่การครอบครองประจำซีซัน

เราลิสต์รายชื่อน้ำหอมชั้นสูงที่ควรค่าครอบครองในช่วงซีซันนี้ที่ผ่านการรังสรรค์อย่างประณีตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ส่วนผสมเลอค่าจนถึงบรรจุภัณฑ์สวยงามมาฝาก

 

1. Rose Gypsy จาก Dior (125, 250 มล. ประมาณ 7,800-10,500 บาท)

น้ำหอมจากคอลเล็กชันพิเศษปรับโฉมใหม่ Maison Christian Dior ในแนวกลิ่นดอกไม้บางเบาจากกุหลาบเมย์โรสต้องหยดน้ำค้างยามเช้า

 

2. Les Eaux de Chanel Paris-Deauville จาก Chanel (125 มล. 5,400 บาท)

หนึ่งในสามกลิ่นหอมจาก EDT คอลเล็กชันใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไป กลิ่นนี้รวมความสดชื่นซาบซ่าของเครื่องเทศและส้มแมนดารินจากซิซิลี

 

3. Le Jour Se Leve จาก Louis Vuitton (100, 200 มล. ประมาณ 8,000-12,000 บาท)

น้ำหอมสุดหรูกลิ่นใหม่ต่อจากคอลเล็กชันปีก่อน ให้กลิ่นอายรุ่งอรุณอันสดชื่นหอมหวานจากส้มแมนดารินและแซมบักจัสมิน

 

4. Private Blend Fabulous จาก Tom Ford (50 มล. 12,000 บาท)

น้ำหอมร้อนแรงแห่งปีกับชื่อจริงๆ คือ Fucking Fabulous แต่ต้องเซนเซอร์ในไทย มาในแนวกลิ่นวู้ดดี้ผสมเผ็ดร้อนด้วยคลารีเสจ ลาเวนเดอร์ วานิลลา และเครื่องหนัง

 

5. Armani Prive Pivoine Suzhou จาก Giorgio Armani Beauty (100 มล. ประมาณ 9,000 บาท)

น้ำหอมแนวกลิ่นฟลอรัลหอมหวาน นำด้วยกลิ่นดอกพีโอนีและกุหลาบเมย์โรส

 

6. Velvet Amber Skin จาก Dolce & Gabbana (50 มล. 7,500 บาท / 150 มล. 14,000 บาท)

หนึ่งใน 17 กลิ่นจากคอลเล็กชัน Velvet เป็นน้ำหอมแนวกลิ่นโอเรียนทัล หอมหวานอบอุ่นกรุ่นติดผิวด้วยกลิ่นของหนัง น้ำผึ้ง และไอริส

 

 

Photo: Courtesy of Brands

อ้างอิง:

FYI
  • น้ำหอมจากแบรนด์ Le Labo มีจำหน่ายในไทยแล้วที่ King Power Duty Free สาขารางน้ำ แต่มาในลักษณะที่บรรจุมาเรียบร้อยแล้ว ยังไม่มีบริการผสมสด ราคาอยู่ที่ 5,795 บาท (50 มล.)
  • ชมภาพเบื้องหลังการเก็บเกี่ยวกุหลาบเมย์โรสได้ที่ www.youtube.com/watch?v=sWM7rfjCAMQ
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising