วานนี้ (23 มกราคม) ตามเวลาท้องถิ่นเมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายของประเทศไทยต่อผู้บริหารจากภาคเอกชน และร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ในกิจกรรม Country Strategy Dialogue (CSD) on Thailand ในการประชุม World Economic Forum Annual Meeting 2025 (WEF AM 25)
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่ได้รับเกียรติอย่างยิ่งให้มาที่ประชุมสำคัญของโลกที่ดาวอสเป็นครั้งแรก การร่วมกิจกรรมในวันนี้นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เน้นย้ำให้ทราบถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งมีจุดเด่นคือที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค และมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมระดับโลก
ขอยืนยันว่า ในยุคแห่งปัญญาและนวัตกรรมนี้ โลกจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ เพื่อสร้างอนาคตที่เหมาะสมสำหรับทุกคน ซึ่งประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การใช้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมจุดแข็งของไทย 3 ประการ ดังนี้
- ด้านเกษตรกรรมและอาหาร รัฐบาลกำลังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงเกษตรกรรมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ปรับปรุงคุณภาพ ลดของเสีย เพิ่มผลผลิตให้ได้สูงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าเกษตรกรรมไทยจะมีความยืดหยุ่น ยั่งยืน และพร้อมสำหรับอนาคต รวมทั้งขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านอาหารให้ร้านอาหารของไทย
- เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปรียบเสมือนซอฟต์พาวเวอร์ที่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลและสร้างสีสันให้กับสังคม เช่น การท่องเที่ยว ซึ่งไทยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็น ‘จุดหมายปลายทางสำหรับการผ่อนคลายความเครียด’ ทุกคนทั่วโลกสามารถมาท่องเที่ยวเพื่อสร้างความทรงจำและเติมพลังให้ตนเอง
นอกจากนี้ ไทยยังมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ
- อุตสาหกรรมขั้นสูงที่มีความยั่งยืน ส่งเสริมอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG รวมถึงการขับเคลื่อนการลงทุนสีเขียวและการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ เช่น การกำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็นอย่างน้อย 50% ภายในปี 2040 โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล
นอกจากนี้ รัฐบาลยังส่งเสริมปัจจัยในการเพิ่มศักยภาพจุดแข็งของไทยให้ได้สูงสุด โดยพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาประชาชน ส่งเสริมการค้าและความเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยการคงไว้ของการทูตแบบสยาม และรักษาสมดุลในการดำเนินความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการจูงใจ ปรับปรุงกฎระเบียบ และบรรลุความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศ / ดินแดนต่างๆ เช่น การทำ FTA ฉบับแรกกับกลุ่ม EFTA และตั้งเป้าที่จะเร่งการเจรจา FTA กับพันธมิตรอื่นๆ รวมทั้งสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้
นายกรัฐมนตรีย้ำด้วยว่า ไทยจะยังคงเป็นสะพานเชื่อม เพื่อลดความแตกต่างและเพิ่มผลประโยชน์ร่วมกันกับประเทศต่างๆ ต่อไป ขณะเดียวกัน ไทยเป็นพันธมิตรที่มีความมุ่งมั่นและมีความพร้อมสำหรับการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
พบผู้นำสวิตเซอร์แลนด์-ภูฏาน-มอนเตเนโกร
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยด้วยว่า ได้พบกับ อูล์ฟ คริสเตอร์สสัน นายกรัฐมนตรีสวีเดน และ คาริน เคลเลอร์-ซุทเทอร์ ประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์ โดยเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับการค้าการลงทุนกับทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีไทย – EFTA อย่างเต็มประสิทธิภาพ และผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย – EU ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ส่วนการหารือกับ ดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏาน เน้นย้ำการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่พิเศษที่มีมายาวนาน โดยเฉพาะระหว่างราชวงศ์ของ 2 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีภูฏานได้เชิญให้ไปเยือนประเทศภูฏานอย่างเป็นทางการ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างกันด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้พบ มีลอยโค สปายิช นายกรัฐมนตรีประเทศมอนเตเนโกร ซึ่งได้เชิญให้ไปเยือนประเทศอย่างเป็นทางการ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีบทบาททางการเมือง
ขอบคุณอาร์เมเนีย หนุนเริ่มต้นเจรจา FTA-EAEU
นายกรัฐมนตรีหารือกับ นีคอล พาชีเนียน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอาร์เมเนีย พร้อมขอบคุณที่ให้การสนับสนุนในการเริ่มต้นเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (Thailand-EAEU FTA) เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณการค้า และยังดึงเอาศักยภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ขณะที่นายกรัฐมนตรีอาร์เมเนียเห็นถึงโอกาสของความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมให้ไทย-อาร์เมเนียใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น โดยจะมอบหมายให้เอกอัครราชทูตอาร์เมเนีย ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพิ่มประเทศไทยเป็นอาณาเขตครอบคลุมเพื่อดูแลในทุกๆ ด้านด้วย
นอกจากนี้ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นพ้องร่วมกันที่จะขับเคลื่อนให้มีการเจรจาความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA) ระหว่างกัน เพื่อส่งเสริมการเยือนและการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
ร่วมเสวนา Betazone เผยเสน่ห์ไทยชนะใจคนทั่วโลก
นายกรัฐมนตรียังเข้าร่วมการเสวนา Betazone หัวข้อ ‘Not Losing Sight of Soft Power’ (ซอฟต์พาวเวอร์ อำนาจที่ไม่ควรมองข้าม) พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของไทยในการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ด้านอาหาร ภาพยนตร์ การท่องเที่ยว ไปจนถึงสุขภาพ
รัฐบาลตระหนักถึงศักยภาพและจุดแข็งที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงตั้งกำหนด 13 เสาอุตสาหกรรม – ท่องเที่ยว, อาหาร, ภาพยนตร์, แฟชั่น, เทศกาล, กีฬา, ดนตรี, ศิลปะ, การออกแบบ, เกม, วรรณกรรม, สุขภาพ และศิลปะการแสดง เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับศักยภาพเหล่านี้ และสร้างมูลค่าให้กับประเทศมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ที่เป็นอีกสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายจากจังหวัดหนองบัวลำภู อีกตัวอย่างสำคัญของงานหัตถกรรมท้องถิ่นที่เป็นการประกาศเกียรติภูมิของชุมชนไทย
พร้อมยกตัวอย่างการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ในแต่ละด้านที่สำคัญ เช่น
มวยไทย ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการต่อสู้และวัฒนธรรม ปัจจุบันไทยมีค่ายมวยกว่า 40,000 ยิมทั่วโลก 6,000 ยิมในลอนดอน ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและตั้งใจที่จะพัฒนา โดยเฉพาะแนวทางในการออกใบรับรองมาตรฐานมวยไทย เพื่อถ่ายทอดมวยไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก
อาหาร เป็นสิ่งที่ต่อยอดจากด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีอาหารไทยที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วโลกอย่างต้มยำกุ้งและข้าวเหนียวม่วง นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีชื่อเสียงในเรื่องการจัดงานเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งรัฐบาลไทยมีแผนที่จะเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ตลอดทั้งเดือนเมษายน
นายกรัฐมนตรียังให้นิยามและขยายความซอฟต์พาวเวอร์ไทยว่า เป็นความสามารถในการดึงดูดหรือมีอิทธิพลต่อผู้อื่น พร้อมย้ำว่า ซอฟต์พาวเวอร์เป็นเสน่ห์ภายในของไทย เป็นเครื่องมือของประเทศที่สามารถเชื่อมโยงและเอาชนะใจคน